มะเร็งต่อมลูกหมากเป็นมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับสองในผู้ชาย โดยในปี 2020 มีผู้ป่วยถึง 1.4 ล้านคนทั่วโลก สำหรับในประเทศไทย มะเร็งต่อมลูกหมากมีอุบัติการณ์สูงเป็นอันดับ 5 ในผู้ป่วยมะเร็งชาย การรู้เท่าทันความเสี่ยง อาการเริ่มต้น และเข้ารับการตรวจคัดกรองก่อนมะเร็งจะลุกลามจึงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม
สาเหตุและปัจจัยที่ทำให้เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก
มะเร็งต่อมลูกหมากเกิดได้จากหลายปัจจัย ทั้งทางพันธุกรรม สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิต ซึ่งสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก มีดังนี้:
- อายุ : โดยเฉพาะชายวัย 50 ปีขึ้นไป
- พันธุกรรมและการกลายพันธุ์ของยีน : โดยหากมีพ่อ พี่ชายหรือน้องชายเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากจะเสี่ยงเพิ่มขึ้น และหากมีแม่ พี่สาวหรือน้องสาวเป็นมะเร็งรังไข่หรือมะเร็งเต้านม ก็จะเพิ่มความเสี่ยงการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้เช่นกัน
- กลายพันธุ์ของยีน : โดยเฉพาะยีน BRCA1 และ BRCA2
- เชื้อชาติ : ชายผิวดำจะมีความเสี่ยงสูงกว่า โดยพบอุบัติการณ์ของมะเร็งต่อมลูกหมากสูงในชาวแอฟริกัน
- ฮอร์โมน : การมีฮอร์โมนเพศชายเทสโทสเตอโรนสูงอย่างต่อเนื่อง
- การอักเสบ : จากการมีภาวะอ้วน ความดันโลหิตสูง น้ำตาลหรือไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งทำให้เกิดการอักเสบเรื้อรังในต่อมลูกหมาก
- การได้รับสารเคมี : เช่น ยาฆ่าแมลง หรือจากโรงงานอุตสาหกรรม
- แม้ปัจจัยเหล่านี้จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งต่อมลูกหมาก แต่ไม่ใช่ทุกคนที่มีปัจจัยเสี่ยงจะต้องเป็นโรคเสมอไป
อาการมะเร็งต่อมลูกหมากในแต่ละระยะ
มะเร็งต่อมลูกหมากแบ่งได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้
- ระยะที่ 1 หรือระยะแรก : ก้อนมะเร็งยังมีขนาดเล็กและอยู่ภายในต่อมลูกหมาก มักไม่มีอาการแสดง ซึ่งการสอดนิ้วเข้าไปตรวจคลำทางทวารหนัก (DRE) หรือการเอกซเรย์มักยังไม่พบความผิดปกติ แต่อาจพบได้จากการตรวจค่าโปรตีนที่ต่อมลูกหมากสร้างขึ้น (PSA) หรือมีการตรวจชิ้นเนื้อด้วยโรคอื่นๆ โดยบังเอิญ
- ระยะที่ 2 : ก้อนมะเร็งยังอยู่ในต่อมลูกหมากแต่มีขนาดใหญ่ขึ้น อาจพบได้จากการตรวจทางทวารหนัก ขึ้นอยู่กับขนาดและการแพร่กระจาย โดยเมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้นผู้ป่วยมักมีอาการปัสสาวะลำบากหรือไหลช้า ปัสสาวะบ่อยโดยเฉพาะตอนกลางคืน และสมรรถภาพทางเพศลดลง
- ระยะที่ 3 : ก้อนมะเร็งเริ่มลุกลามไปยังเนื้อเยื่อใกล้เคียง เช่น ถุงน้ำเชื้อ แต่ยังไม่แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะที่อยู่ไกล ผู้ป่วยจะมีอาการที่ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะไว้ได้นาน ปัสสาวะลำบากและไม่สุด รู้สึกปวดขณะปัสสาวะหรือหลั่งอสุจิ ปวดหรือตึงในอุ้งเชิงกราน มีเลือดปนในปัสสาวะหรืออสุจิ และสมรรถภาพทางเพศลดลงอย่างชัดเจน
- ระยะที่ 4 : ก้อนมะเร็งแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ เช่น ต่อมน้ำเหลือง กระดูก ปอด หรือตับ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดกระดูกบริเวณสะโพก กระดูกสันหลัง หรือขา อ่อนเพลีย น้ำหนักลด หากมะเร็งแพร่กระจายไปยังไขสันหลังจะรู้สึกปวดหรือเดินลำบาก
การตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมาก มีวิธีใดบ้าง?
การตรวจคัดกรองมะเร็งต่อมลูกหมากทำได้หลายวิธี แต่ที่ได้รับความนิยมจะเป็น 3 วิธีหลักดังนี้
- การคลำต่อมลูกหมากทางทวารหนักด้วยนิ้ว (DRE) โดยแพทย์จะสอดนิ้วที่สวมถุงมือและทาเจลหล่อลื่นเข้าไปทางทวารหนัก เพื่อตรวจหาก้อนหรือความผิดปกติ ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวกและใช้เวลาน้อยมาก แต่มีข้อจำกัดในการตรวจพบความผิดปกติว่าต้องอยู่ในบริเวณที่คลำถึง หากก้อนมะเร็งมีขนาดเล็กและอยู่ภายในต่อมลูกหมากอาจคลำไม่พบ
- การตรวจเลือดวัดระดับค่า PSA (Prostate-Specific Antigen) ซึ่งเป็นโปรตีนที่สร้างขึ้นโดยต่อมลูกหมาก หากพบค่าที่สูงเกิน 4 ng/ml จะเริ่มมีความเสี่ยง ทั้งนี้ค่า PSA ที่สูงยังอาจเกิดจากภาวะอื่น เช่น ต่อมลูกหมากโตหรือมีการติดเชื้อ
- การตรวจ MRI fusion with Ultrasound biopsy เป็นการตรวจที่มีประสิทธิภาพสูง โดยใช้การเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) ร่วมกับการอัลตราซาวด์แบบเรียลไทม์ ซึ่งจะช่วยให้แพทย์ระบุจุดที่ต้องสงสัยและเก็บชิ้นเนื้อไปตรวจได้อย่างแม่นยำ โดยเฉพาะในบริเวณที่ตรวจพบยากด้วยการอัลตราซาวด์เพียงอย่างเดียว
ใครบ้างที่ควรได้รับการตรวจชิ้นเนื้อต่อมลูกหมาก?
การตรวจชิ้นเนื้อเพื่อการวินิจฉัยมะเร็งต่อมลูกหมากจะช่วยกำหนดแนวทางการเฝ้าระวังและเลือกวิธีรักษา โดยผู้ที่ควรได้รับการตรวจอาจพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้
- พบสัญญาณที่น่าสงสัยของมะเร็งต่อมลูกหมากจากการคลำผ่านทางทวารหนักด้วยนิ้ว (DRE) เช่น พบก้อนเนื้อแข็ง หรือต่อมลูกหมากมีลักษณะขรุขระ
- ผลการตรวจเลือดพบค่า PSA สูงกว่า 10 ng/ml โดยไม่มีสาเหตุอื่นนอกจากสงสัยภาวะมะเร็ง เช่น ค่าที่สูงไม่ได้เกิดจากการใส่สายสวนปัสสาวะ มีการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะมาก่อน หรือเพิ่งมีการหลั่งน้ำอสุจิก่อนเจาะเลือด
- ผลการตรวจเลือดพบค่า PSA ระหว่าง 4-10 ng/ml แต่มีการเพิ่มขึ้นที่เด่นชัดของระดับ PSA อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเพิ่มขึ้นมากกว่า 0.75 ng/ml ต่อปี
- พบความผิดปกติจากการตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) หลายพารามิเตอร์ (mpMRI) โดยมีค่า PIRADS ในระดับ 3-4 ขึ้นไป
ทั้งนี้ ในกรณีที่มีปัจจัยเสี่ยงร่วม เช่น มีประวัติครอบครัว พ่อ พี่ชาย น้องชาย เป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก และตรวจด้วยวิธี DRE แล้วน่าสงสัย แม้ค่า PSA จะไม่สูง ก็ควรได้รับการตรวจชิ้นเนื้อ เช่นกัน
วิธีรักษามะเร็งต่อมลูกหมาก
การรักษามะเร็งต่อมลูกหมากทำได้หลายวิธี ขึ้นกับระยะที่เป็นและปัญหาสุขภาพของผู้ป่วย โดยแพทย์จะวางแผนการรักษาร่วมกับผู้ป่วยและเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุด ไม่ว่าจะเป็น
- การเฝ้าระวังและติดตามความเสี่ยงอย่างใกล้ชิด (Active Surveillance) ด้วยการตรวจค่า PSA และตรวจชิ้นเนื้อเป็นระยะๆ
- การผ่าตัด (Surgery) เอาต่อมลูกหมากและเนื้อเยื่อรอบข้างออกในผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะที่ 1 หรือระยะเริ่มต้น ซึ่งมีทั้งแบบเปิดหน้าท้องและการผ่าตัดผ่านกล้อง
- การใช้รังสีบำบัด (Radiation Therapy) ซึ่งแบ่งเป็นการฉายรังสีจากภายนอกเพื่อฆ่าเซลล์มะเร็ง และการฝังแร่กัมมันตภาพรังสีลงในต่อมลูกหมากโดยตรง
- การบำบัดด้วยการลดหรือบล็อกฮอร์โมนเพศชาย (Hormone Therapy) ที่กระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งด้วยการใช้ยาหรือการตัดเอาอัณฑะออก วิธีนี้เป็นการรักษาเพิ่มเติมหลังการผ่าตัด
- การใช้เคมีบำบัด (Chemotherapy) เพื่อฆ่าเซลล์มะเร็งในผู้ป่วยมะเร็งต่อมลูกหมากในระยะลุกลาม
มะเร็งต่อมลูกหมากเป็นโรคที่รักษาให้หายขาดได้ การตรวจสุขภาพเป็นประจำเพื่อคัดกรองความเสี่ยง โดยเฉพาะการตรวจหาค่าระดับสารโปรตีน PSA ที่ต่อมลูกหมากสร้างขึ้น เป็นการตรวจที่ง่ายและทำได้บ่อย จะช่วยให้ได้รับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมต่อไป