ตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ ใส่บอลลูนและขดลวด ทำได้โดยผ่านทางหลอดเลือดแดงที่ข้อมือ (Radial Artery)

พญาไท 2

1 นาที

ศ. 08/11/2024

แชร์


Loading...
ตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ ใส่บอลลูนและขดลวด ทำได้โดยผ่านทางหลอดเลือดแดงที่ข้อมือ (Radial Artery)

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจมีทั้งที่ชนิดควบคุมไม่ได้ เช่น อายุที่เพิ่มขึ้น การมีพันธุกรรมเสี่ยง ส่วนปัจจัยที่ควบคุมได้ เช่น การดูแลตนเองไม่ให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหรือรักษาให้อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้ อย่างโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง การเป็นโรคอ้วนหรือมีน้ำหนักเกิน รวมถึงการลดพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่น เลิกสูบบุหรี่ ลดการบริโภคอาหารหวาน มัน เค็ม หรือแปรรูป เพิ่มการออกกำลังกาย พักผ่อนให้เพียงพอ รู้จักผ่อนคลายความเครียด หลีกเลี่ยงมลพิษ และให้ความสำคัญกับการตรวจสุขภาพประจำปี โดยเพิ่มการตรวจสุขภาพหัวใจ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงหรือดูแลรักษาได้ทันก่อนที่อาการจะลุกลาม

 

อาการแบบไหนเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ?

  • เจ็บแน่นกลางอกหรืออกด้านซ้ายเหมือนถูกของหนักกดทับ อาจมีคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย
  • เจ็บหน้าอกรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เจ็บร้าวหรือชาไปที่แขน ไหล่ กราม
  • หายใจไม่อิ่ม ไม่เต็มปอด หรือหายใจลำบาก 
  • หอบเหนื่อย ใจสั่น หัวใจเต้นแรงกว่าปกติ มีเหงื่อออกมาก หมดแรง หน้ามืด คล้ายจะเป็นลม

หากเกิดอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ จะได้รีบรักษาอย่างทันท่วงที

 

การตรวจหลอดเลือดหัวใจเพื่อการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ

การตรวจหลอดเลือดหัวใจเพื่อการวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตัน มี 2 วิธีหลัก ดังนี้

  • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Coronary CT Angiography : CTCA) โดยใช้เครื่อง CT Scan ร่วมกับการฉีดสารทึบรังสีเข้าทางหลอดเลือดดำ เพื่อให้เห็นภาพหลอดเลือดหัวใจได้ชัดเจนขึ้น มักใช้ในการประเมินอาการหลอดเลือดหัวใจตีบในผู้ที่มีความเสี่ยงระดับต้นถึงปานกลาง
  • การสวนหลอดเลือดหัวใจ (Coronary Angiography : CAG) เพื่อการฉีดสารทึบรังสีโดยการสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางข้อมือ (Radial Artery) หรือสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางขาหนีบ (Femoral Artery) มักทำในผู้ป่วยความเสี่ยงสูงที่มีอาการบ่งชี้ชัดเจน เพื่อหาตำแหน่งของหลอดเลือดที่มีการตีบหรืออุดตัน

 

การสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางข้อมือ (Radial Artery) มีวิธีการอย่างไร ?

การสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางข้อมือ (Radial Artery) เป็นการตรวจหลอดเลือดหัวใจเพื่อหาตำแหน่งของการตีบหรืออุดตันของหลอดเลือดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะมีความแม่นยำสูง ผู้ป่วยยังได้รับความสะดวกสบายกว่าการสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางขาหนีบ (Femoral Artery) โดยมีขั้นตอนการตรวจวินิจฉัย ดังนี้

  • แพทย์จะทำการฆ่าเชื้อและฉีดยาชาที่บริเวณข้อมือข้างที่จะทำการสวนหลอดเลือด เพื่อให้ผู้ป่วยไม่รู้สึกเจ็บระหว่างทำการสอดสายสวน
  • จากนั้นจะทำการเจาะรูเล็กๆ และเริ่มสอดสายสวนขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2.5 มม. เข้าไปยังเส้นเลือดแดงที่ข้อมือ
  • เมื่อปลายสายสวนสอดเข้าไปถึงหลอดเลือดหัวใจแล้ว แพทย์จะฉีดสารทึบรังสีเพื่อดูการเคลื่อนที่ของสารทึบรังสีผ่านหลอดเลือดหัวใจทั้ง 3 เส้น พร้อมถ่ายภาพเอกซเรย์หลอดเลือดหัวใจ เพื่อให้เห็นลักษณะและจุดที่มีการตีบตันของหลอดเลือด
  • นำผลตรวจที่ได้มาวางแผนและเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมต่อไป 

ในกรณีที่แพทย์พิจารณาว่าควรได้รับการรักษาด้วยการทำบอลลูนขยายหลอดเลือด (Balloon Angioplasty) หรือใส่ขดลวด (Stent) เพื่อขยายและเสริมความแข็งแรงให้กับหลอดเลือดก็สามารถทำได้ทันที ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของโรค โดยไม่ต้องใช้ยาสลบ จึงลดความเสี่ยงจากผลข้างเคียงของการใช้ยาสลบ อีกทั้งผู้ป่วยยังสามารถสื่อสารกับแพทย์ได้หากมีอาการผิดปกติหรือเกิดภาวะฉุกเฉิน ซึ่งช่วยให้เกิดการแก้ปัญหาที่เร็วขึ้น

 

ข้อดีของการสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางข้อมือ (Radial Artery)

    • โอกาสเกิดเลือดออกหรือมีภาวะแทรกซ้อนน้อยกว่าการใส่สายสวนผ่านทางขาหนีบ
    • หลังตรวจเสร็จผู้ป่วยจะสวมสายรัดข้อมือ (TR band) ไว้เพียง 1-2 ชม. เพื่อป้องกันเลือดออกหรือภาวะแทรกซ้อน ซึ่งต่างจากการสอดสายสวนผ่านทางขาหนีบที่ต้องนอนราบและห้ามงอขาหนีบนาน 6-10 ชั่วโมงหลังตรวจ
  • ฟื้นตัวได้ไวกว่า โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถลุกนั่งหรือเดินได้ทันทีหลังการตรวจ และใช้เวลาพักฟื้นเพียง 4-8 ชม. ช่วยลดเวลาในการนอนโรงพยาบาล ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการฟื้นตัวของผู้ป่วยแต่ละรายจากปัจจัยด้านอายุและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ประกอบกัน

 

ข้อจำกัดของการสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางข้อมือ (Radial Artery)

แม้ว่าการตรวจหลอดเลือดหัวใจผ่านทางข้อมือ (Radial Artery) จะมีความปลอดภัยสูง และให้ความสะดวกสบายกว่าการสวนหลอดเลือดหัวใจผ่านทางขาหนีบ แต่ยังมีข้อจำกัดบางประการที่ไม่สามารถทำได้ เช่น กรณีผู้ป่วยมีหลอดเลือดแดงที่ข้อมือเล็กซึ่งเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ โดยเฉพาะในผู้ป่วยหญิง ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีโรคเส้นเลือดตีบที่แขน​ อีกทั้งการสอดสายสวนผ่านทางข้อมือจะมีความซับซ้อนกว่า จึงต้องอาศัยแพทย์ผู้ชำนาญการ และหากจำเป็นต้องใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ขนาดใหญ่ในการรักษาขณะสอดสายสวน เช่น ต้องใส่บอลลูนหรือขดลวดขนาดใหญ่ อาจต้องเปลี่ยนมาทำผ่านเส้นเลือดที่ขาหนีบแทน เนื่องจากหลอดเลือดจะมีขนาดที่ใหญ่กว่า ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของหลอดเลือดและเพิ่มความปลอดภัยให้แก่ผู้ป่วย

 

โรคหลอดเลือดหัวใจสามารถลดเสี่ยงและป้องกันได้ ทั้งด้วยการปรับพฤติกรรม การดูแลรักษาโรคเรื้อรังที่เป็นปัจจัยร่วม และการหมั่นเข้ารับการตรวจคัดกรอง เช่น ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) ตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (ECHO Cardiogram) ตรวจสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (EST) หรือตรวจปริมาณคราบหินปูนในหลอดเลือดหัวใจ (Calcium Score) ที่ศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลพญาไท 2 พร้อมให้การดูแลรักษา โดยแพทย์ผู้ชำนาญการเฉพาะทางด้านโรคหัวใจ ที่พร้อมตอบโจทย์ความคุ้มค่าและความต้องการในทุกมิติ ตั้งแต่การให้คำปรึกษา การตรวจคัดกรอง การตรวจวินิจฉัย การรักษา รวมถึงการทำหัตถการ ไม่ว่าจะเป็นการสวนหลอดเลือดหัวใจ (CAG) การขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน (Balloon Angioplasty) การใส่ขดลวด (Stent) และการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (Bypass) ต่อเนื่องไปจนถึงการดูแลเพื่อการพักฟื้น รูปแบบห้องพักที่หลากหลายและอาหารพิเศษที่ให้คุณเลือกได้อีกด้วย


แชร์

Loading...
Loading...
Loading...