“รศ. นพ.ณัฐพล อาภรณ์สุจริตกุล ศัลยแพทย์ปลูกถ่ายอวัยวะ” กล่าวถึง การบริจาค เปลี่ยนถ่ายไต และการขอรับบริจาค เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน เมื่อสถานการณ์นั้นมาถึง จึงควรมีการศึกษาทั้งผู้ให้ และผู้รับ เพื่อการปลูกถ่ายไตที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
ต่างรู้ไตกัน ผู้รับบริจาคไต vs ผู้บริจาคไต
สำหรับผู้รับบริจาคไต
ผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายทุกราย ทุกช่วงอายุ ควรจะได้รับการประเมิน และปลูกถ่ายไต ยกเว้น มีข้อห้าม หรือจำกัด อาทิ ผู้ป่วยที่ติดเชื้อรุนแรง ผู้ป่วยที่เป็นมะเร็ง และยังรักษาไม่หาย หรือผู้ที่ไม่สามารถดูแลตัวเองได้ เหล่านี้จะเป็นข้อห้ามในการปลูกถ่ายไต ช่วงอายุเริ่มต้น จริง ๆ แล้วสามารถปลูกถ่ายไตได้ตั้งแต่วัยเด็กอายุ 2-3 ปีขึ้นไป หากร่างกายพร้อมในส่วนของอายุสูงสุดที่สามารถเข้ารับการปลูกถ่ายไต โดยยังไม่มีเกณฑ์กำหนดตายตัว แม้กระทั่งผู้สูงอายุในช่วงอายุ 70-80 ปี หากต้องปลูกถ่ายไต เมื่อประเมินสภาพร่างกาย และจิตใจผ่าน มีความแข็งแรง ก็สามารถปลูกถ่ายไตได้ เพราะฉะนั้นการปลูกถ่ายจึงขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายเป็นหลัก ไม่ใช่ช่วงอายุ
- สุขภาพไตอย่างไร ถึงต้องเข้าเกณฑ์ปลูกถ่ายไต
โดยทั่วไปมักเข้าใจว่าการปลูกถ่ายไต ไตต้องยังมีสภาพที่ดี แต่แท้ที่จริงแล้วผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายเป็นเกณฑ์ที่ควรได้รับการประเมินเข้ารับการปลูกถ่ายไต
ผู้ป่วยควรทราบว่าไตวายมีทั้งหมด 5 ระยะ ระยะที่ 5 เรียกว่า ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย การปลูกถ่ายไตโดยทั่วไป คือ ผู้ป่วยที่มีอาการไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย เนื่องจากไตถูกทำลายจนไม่สามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติ จึงต้องได้รับการปลูกถ่ายไตอย่างเร่งด่วน ซึ่งช่วงเวลาที่เข้ารับการปลูกถ่ายขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ และการดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
ซึ่งปัจจุบันมีการรณรงค์ให้ผู้ป่วยไตวายเรื้อรัง เข้ารับการปลูกถ่ายตั้งแต่ระยะที่ 4 ต่อระยะที่ 5 โดยปลูกถ่ายไตจากญาติให้กัน ถือเป็นการปลูกถ่ายไตที่ดีที่สุด คือ ไม่ต้องรอระยะ 5 ที่ต้องฟอกไต หากปลูกถ่ายในช่วงปลายระยะที่ 4 ที่จะต้องเริ่มฟอกไต และทำการปลูกถ่ายไตจากญาติจะมีผลดี คือ ไตปลูกถ่ายใช้ได้นาน มีโอกาสเกิดการปฏิเสธไตน้อย ทันต่อการรักษา และฟื้นฟูร่างกาย
- ประเทศไทยจะแบ่งผู้บริจาคไตออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
1. ผู้บริจาคที่มีชีวิต ตามระเบียบของแพทยสภา ซึ่งออกไว้ 3 กรณี คือ
- จะต้องเป็น พ่อ แม่ ลูกกัน
- ญาติพี่น้องสายตรง
- สามี ภรรยา ซึ่งจะต้องจดทะเบียนสมรสกันไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือมีบุตร-ธิดา ร่วมกัน
2. ผู้บริจาคไตที่มีภาวะสมองตาย ในกลุ่มนี้ผู้ป่วยจะต้องรอคิวจากศูนย์รับบริจาคอวัยวะสภากาชาดไทย
- การเตรียมตัวก่อนการปลูกถ่ายไต และหลังพักฟื้น กับการใช้ชีวิตหลังการเปลี่ยนถ่ายไต
การเตรียมตัวสำหรับการปลูกถ่ายไต คือ
- ผู้ป่วยมีข้อห้ามในการปลูกถ่ายไตหรือไม่ หากไม่มีข้อห้าม การดูแลก็จะเหมือนกับ
- การดูแลตามคำสั่งของแพทย์ที่มีข้อกำหนดมาตรฐานทั่วไป
- หลังการปลูกถ่ายไต จะต้องระมัดระวังเรื่องความสะอาดอย่างเคร่งครัด และการรับประทานอาหาร ควรรับประทานตามคำแนะนำของแพทย์
- การใช้ชีวิต เมื่อเทียบระหว่างการปลูกถ่ายไต และการฟอกไต การฟอกไตจะต้องมาโรงพยาบาลบ่อยครั้ง เพื่อรับการฟอกไตอย่างสม่ำเสมอตลอดไป แต่หากได้รับการปลูกถ่ายไตผู้ป่วยจะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สามารถปัสสาวะได้เอง ไม่ต้องมาโรงพยาบาลบ่อย นอกจากนี้การปลูกถ่ายไตจะช่วยลดภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวเนื่องจากไตวายและช่วยให้มีอายุยืนยาวมากขึ้น เมื่อเทียบกับการฟอกไต
ภายหลังจากการปลูกถ่ายไตอาจมีภาวะแทรกซ้อนได้ เช่น หลอดเลือดไตตีบ ท่อปัสสาวะรั่ว เป็นต้น โดยทั่วไปพบน้อยมาก
ภาวะปฏิเสธไต หรือ การที่ไตปลูกถ่ายถูกต่อต้านจากภูมิคุ้มกันของร่างกายผู้รับ ในปัจจุบันพบได้ไม่มากประมาณร้อยละ 5 เนื่องจากมีการพัฒนายากดภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้นช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะปฏิเสธไตลงได้อย่างมีนัยสำคัญ อย่างไรก็ตาม หากร่างกายมีการปฏิเสธไตจริง ก็มีวิธีการรักษาที่จะเก็บไตที่ได้รับการปลูกถ่ายไว้
สำหรับผู้บริจาคไต
- ผู้บริจาคไต ต้องมีคุณสมบัติอย่างไรถึงจะสามารถบริจาคได้ ผู้บริจาคไตจะต้องเข้าเกณฑ์ของแพทยสภาที่กำหนดไว้ว่า 3 ข้อ คือ
- จะต้องเป็น พ่อ แม่ ลูกกัน
- ญาติพี่น้องสายตรง
- สามี ภรรยา ซึ่งจะต้องจดทะเบียนสมรสกันไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือมีบุตร-ธิดา ร่วมกัน
หากเข้าเกณฑ์ทั้ง 3 ข้อของแพทยสภา หลักการของผู้บริจาค ก็จะต้องมีอายุอย่างน้อย 18 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ส่วนอายุสูงสุดในการบริจาคไม่ได้มีการกำหนด ขึ้นอยู่กับการตรวจประเมินสุขภาพของผู้บริจาค โดยผู้บริจาคจะต้องไม่มีโรคประจำตัว หรือมีโรคประจำตัวที่สามารถควบคุมได้ ซึ่งต้องได้รับการตรวจ และประเมินจากแพทย์เฉพาะทางว่ามีสภาพร่างกายเข้าเกณฑ์บริจาคได้หรือไม่
- ผู้บริจาคไต หากมีโรคประจำตัวเบาหวาน ความดัน สามารถบริจาคได้หรือไม่ ?
หากแพทย์วินิจฉัยว่าเป็น “เบาหวาน” จะเป็นข้อห้ามในการบริจาค เนื่องจากส่งผลกระทบต่อผู้บริจาคเองโดยตรง เพราะในอนาคตไตจะเสื่อมจากเบาหวานได้ในที่สุด
สำหรับกรณีโรคความดันโลหิตสูงที่ควบคุมได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก เป็นข้อห้ามในการบริจาคไต หากแพทย์ประเมินแล้วว่าควบคุมได้ดีก็มีโอกาสเข้าเกณฑ์เป็นผู้บริจาคได้
- การเตรียมตัวสำหรับผู้บริจาคไต
- ดูแลร่างกายให้แข็งแรง
- เฝ้าระวังไม่ให้เกิดการติดเชื้อก่อนการปลูกถ่ายไต
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ไม่ทานอาหารรสเค็ม
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
สำหรับผู้บริจาคไตที่มีชีวิต กว่าจะสามารถเป็นผู้บริจาคไตได้ จะต้องผ่านการตรวจร่างกายอย่างรอบด้าน และครอบคลุม ซึ่งการผ่านเกณฑ์ผู้บริจาคจะต้องมีร่างกายที่แข็งแรงมากกว่าเกณฑ์มาตรฐานคนทั่วไป ดังนั้นหลังการบริจาคจะฟื้นตัวกลับมาแข็งแรงเหมือนเดิม สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ
- ข้อควรระวังหลังบริจาคไต ผู้บริจาคไตหลังการปลูกถ่ายจะต้องดูแลอาหารตามคำแนะนำของแพทย์ พักผ่อนให้เพียงพอ และสามารถออกกำลังกายหลังการพักฟื้นได้
- การเหลือไตข้างเดียวจะเพิ่มโอกาสเป็นโรคไตได้หรือไม่ ? หากมีการดูแลตัวเองเป็นอย่างดี ถึงแม้จะมีไตเพียงข้างเดียว ก็สามารถทำงานทดแทนไตอีกข้างที่บริจาคได้ 100% ซึ่งไม่ได้มีความเสี่ยงโรคไตที่เพิ่มขึ้นกว่าคนที่ไม่ได้บริจาค แต่หากหลังการบริจาคไม่ดูแลตัวเอง ทานอาหารเค็มจัด พักผ่อนไม่เพียงพอ มีโอกาสที่มีความเสี่ยงได้ จึงจำเป็นต้องดูแลสุขภาพควบคู่ไปด้วย