“ที่ฉันอ้วน เพราะฉันหยุดกินไม่ได้” หากต้นเหตุความอ้วนของคุณเกิดขึ้นเพราะสาเหตุนี้ แถมลองลดน้ำหนักมาสารพัดวิธีก็ยังไม่ได้ผล ต้องลองทำความรู้จักกับการลดน้ำหนักด้วยวิธี Sleeve Gastrectomy เพราะดีกว่าเอาตัวเองไปเสี่ยงด้วยวิธีลดน้ำหนักแบบผิดๆ ถูกๆ หรือครั้นจะปล่อยให้อ้วนต่อไปก็คงไม่ดีเพราะมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร New England Journal of Medicine ชี้ว่า โรคอ้วนเป็นสาเหตุให้คนทั่วโลกเสียชีวิตจากโรคแทรกซ้อนก่อนวัยอันควร สูงถึงปีละ 4 ล้านคน
ผ่าตัดลดน้ำหนักไม่ใช่เรื่องน่ากลัว
ในประเทศไทย โรคอ้วนถือเป็นปัญหาใหญ่ โดยคนไทยที่มีภาวะน้ำหนักเกิน หรืออ้วน มากกว่า 20.8 ล้านคน ซึ่งเข้าถึงการรักษาไม่ถึง 1% “โรคอ้วน นอกจากทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติด้วยโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ความดัน โรคไต โรคหยุดหายใจขณะนอนหลับ โรคอ้วนยังสัมพันธ์กับความเสี่ยงการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งถุงน้ำดี หากเราแก้ปัญหาที่ต้นเหตุคือ ลดน้ำหนักได้ก็ไม่ต้องเสี่ยงกับการเป็นโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวกับโรคอ้วน หรือมะเร็ง” ซึ่งคนที่อ้วนมากๆ หรือมีดัชนีมวลกายมากกว่า 45 ขึ้นไป ยังสัมพันธ์กับการมีอายุขัยสั้นลงเฉลี่ยประมาณ 7 – 8 ปี
ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีการผ่าตัดลดน้ำหนักในปัจจุบัน รวมถึงอุปกรณ์ และความชำนาญของแพทย์ที่ก้าวหน้าไปไกลมาก การผ่าตัดด้วยวิธีนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวอีกต่อไป ทั้งยังมีความปลอดภัยสูงโอกาสเกิดอาการแทรกซ้อนน้อยกว่า 1%
Sleeve Gastrectomy วิธีนี้ช่วยลดน้ำหนัก…ยังไง?
วิธีที่นิยมมากที่สุดสำหรับการผ่าตัดเพื่อลดน้ำหนักในปัจจุบัน คือการผ่าตัดแบบ Sleeve Gastrectomy หรือเรียกสั้นๆ ว่า Sleeve “แพทย์จะทำการผ่าตัดกระเพาะอาหารผ่านกล้อง โดยเจาะรูประมาณ 4 – 5 รู เพื่อลดขนาดจากความจุจากเดิมประมาณ 1,000 cc ให้เหลือความจุประมาณ 150 cc โดยใช้เครื่องมือตัดต่อชนิดพิเศษซึ่งสามารถตัดและเย็บกระเพาะได้ไปในครั้งเดียวกัน แพทย์จะเช็คความเหมาะสมของขนาด และรูปทรงกระเพาะ ก่อนเย็บปิดด้วยไหมละลาย ผู้ป่วยสามารถฟื้นตัวที่ รพ.ภายใน 1 – 2 วัน และกลับไปพักฟื้นที่บ้านต่อได้ หลังรับการผ่าตัดคนไข้จะทานอาหารได้น้อยลง รู้สึกอิ่มโดยไม่ทรมานเหมือนเวลาที่อดอาหารปกติ เพราะหลังการผ่าตัดฮอร์โมนความหิว(Ghrerin)จะลดต่ำลง นอกจากนี้ฮอร์โมนความอิ่ม(GLP1,PYY) จะถูกกระตุ้นให้หลั่งออกมามากขึ้นด้วย
ผ่าตัดลดความอ้วน vs ผ่าตัดหนังหน้าท้องหรือดูดไขมัน
การผ่าตัดหนังหน้าท้อง ไม่ใช่แนวทางการรักษาแบบเดียวกับการผ่าตัดลดความอ้วน แต่มาจากปัญหาอย่างหนึ่งหลังจากคนไข้ผ่าตัดลดความอ้วน ก็คือเมื่อน้ำหนักลดลงมากๆ บางกลุ่มที่ผิวหนังหย่อนยาน ก็จะต้องใช้การทำศัลยกรรมพลาสติกเข้ามาช่วย การผ่าตัดเก็บหนังหน้าท้องเป็นการด้วยการจัดแต่งทรง ดูดชั้นไขมันข้างนอก โดยไม่ได้แก้ปัญหาเรื่องความอ้วนจากต้นตอจริงๆ ไม่ได้แก้ไขฮอร์โมนความหิว ต่างจากหลักการของผ่าตัดโรคอ้วน คือการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคร่วมที่เกี่ยวกับโรคอ้วนอย่าง เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ รักษาไขมันเกาะตับ นอกจากนี้ ผ่าตัดลดความอ้วนช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร และมะเร็งถุงน้ำดี ในอนาคตได้
ดูแลตัวเองอย่างไรให้ปลอดภัยทั้งก่อน – หลังผ่าตัด
ก่อนเข้ารับการผ่าตัดแพทย์จะให้คำแนะนำ ตรวจร่างกายที่จำเป็นให้แก่คนไข้ เพื่อประเมินสุขภาพก่อนรับการผ่าตัด รวมถึงใช้เครื่องมืออัลตร้าซาวด์ เพื่อเช็คภาวะไขมันเกาะตับ หรือนิ่วในถุงน้ำดี เมื่อตรวจทุกอย่างครบถ้วนก็สามารถนัดหมายผ่าตัดได้ กรณีหลังการผ่าตัดแบบ sleeve ที่เป็นการผ่าตัดลดขนาดกระเพาะ ในช่วงแรกแพทย์จะให้ทานวิตามินเสริม หลังจากนั้นจะนัดมาตรวจดูระดับวิตามิน และติดตามอย่างสม่ำเสมอในช่วงสัก 1 – 2 ปีแรก เพื่อดูน้ำหนัก และพฤติกรรมการกิน ให้การลดน้ำหนักหลังการผ่าตัดเป็นไปได้มีประสิทธิภาพที่สุด
คำแนะนำเมื่อกระเพาะจุได้น้อยลง
- ความจุของกระเพาะอาหารเล็กลง ต้องเน้นทานโปรตีนให้มากขึ้น วันละ 60 – 80 กรัม ต่อวัน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับมวลกล้ามเนื้อ ช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็ว ซึ่งการกินโปรตีนที่เพียงพอไม่ได้ส่งผลให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น
- การทานอาหารได้น้อยลง ต้องแบ่งการดื่มน้ำ หรือแบ่งอาหารเป็นมื้อเล็กๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับปริมาณน้ำ 1.5 – 2 ลิตรต่อวันเทียบเท่าคนปกติ ประมาณ 4 สัปดาห์ก็สามารถปรับพฤติกรรมการกินให้ใกล้เคียงปกติได้
โดยหลักของการลดน้ำหนักมี 4 วิธี คือ การควบคุมอาหารและออกกำลังกาย การใช้ยา การรักษาโดยการส่องกล้องใส่บอลลูน และสุดท้ายคือการผ่าตัด ซึ่งหลักฐานทางการแพทย์ในปัจจุบันพบว่า การผ่าตัดสามารถช่วยลดน้ำหนักได้มากและมีผลงานวิจัยรองรับมากว่า 10 ปี หากใครที่ลองทำด้วยวิธีอื่นมาแล้วไม่เห็นผล อาจต้องลองมองการผ่าตัดเพื่อเป็นทางเลือกไว้คงไม่เสียหาย