ทอนซิลอักเสบ เด็กและผู้ใหญ่เป็นได้ อันตรายกว่าที่คิด

พญาไท 3

2 นาที

พฤ. 24/04/2025

แชร์


Loading...
ทอนซิลอักเสบ เด็กและผู้ใหญ่เป็นได้ อันตรายกว่าที่คิด

ทอนซิลอักเสบ เป็นโรคใกล้ตัวที่พบได้บ่อย ซึ่งหลาย ๆ คนมักคิดว่าไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร รักษาหายได้ง่าย แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากปล่อยทิ้งไว้นานวัน ไม่รีบเร่งรักษา อาจเป็นอันตรายได้มากกว่าที่คิด ที่สำคัญคือไม่ใช่แค่ผู้ใหญ่เท่านั้นที่ป่วยเป็นทอนซิลอักเสบได้ แต่ในเด็กเล็ก ก็ป่วยเป็นโรคนี้ได้เช่นกัน และยังถือว่ามีความเสี่ยงมากกว่าผู้ใหญ่อีกด้วย ซึ่งด้วยเพราะทอนซิลอักเสบสามารถติดต่อกันได้ การทำความรู้จักกับโรคทอนซิลอักเสบจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้เราสามารถดูแลตัวเองและคนที่รักในครอบครัวให้ปลอดภัยจากโรคนี้ได้มากที่สุด

 

ทอนซิลคืออะไร สำคัญอย่างไรกับร่างกายคนเรา

“ทอนซิล” หรือที่เรามักเรียกกันว่า “ต่อมทอนซิล” นั้น คือ ต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ในช่องปาก มีหน้าที่ในการดักจับเชื้อโรคต่าง ๆ ก่อนที่จะเข้าสู่ร่างกาย ทอนซิลในช่องปากจะมีอยู่ที่บริเวณคอหอยหลังช่องปากซ้ายขวา 2 ข้าง เรียกว่า พาลาทีนทอนซิล (palatine tonsil) และบริเวณโคนลิ้น เรียกว่า ลิงกวลทอนซิล (lingual tonsil)

 

ต่อมทอนซิลในเด็กเล็ก มักมีขนาดใหญ่กว่าในผู้ใหญ่ เพราะเด็ก ๆ เสี่ยงที่จะได้รับเชื้อโรคได้บ่อยและง่ายกว่า หรือในเด็กบางคนที่เป็นภูมิแพ้ ต่อมทอนซิลจึงทำงานมากกว่าปกติ ทำให้มีขนาดใหญ่กว่าต่อมทอนซิลของเด็กปกติและผู้ใหญ่ทั่วไปได้นั่นเอง จึงทำให้หากเด็กเล็ก ๆ มีอาการทอนซิลอักเสบ จะเสี่ยงเป็นอันตรายได้มากกว่า เนื่องจากต่อมทอนซิลจะมีขนาดใหญ่ขึ้นมากจนทำให้หายใจลำบากและติดขัดได้

 

ทอนซิลอักเสบ มีสาเหตุเกิดจากอะไร

โรคทอนซิลอักเสบ มีสาเหตุเกิดได้จากหลาย ๆ ปัจจัย เช่น เกิดจากการติดเชื้อในสิ่งแวดล้อมทั่วไป เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีเชื้อโรค หรือในคนไข้บางรายก็อาจเป็นผลมาจากโรคประจำตัวที่ทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำลง จนทำให้เชื้อโรคเข้ามาติดที่ต่อมทอนซิลได้ง่ายขึ้น ในขณะเดียวกันคนในคนไข้บางรายก็เกิดมาพร้อมกับต่อมทอนซิลที่โตอยู่แล้ว ซึ่งกรณีนี้ถือว่ามีความเสี่ยงมากเป็นพิเศษ เพราะถ้าแต่เดิมต่อมทอนซิลมีขนาดใหญ่ เมื่อเกิดการอักเสบอีกก็จะยิ่งทำให้ต่อมทอนซิลมีขนาดใหญ่ขึ้น จนไปอุดกั้นทางเดินหายใจ ทำให้มีอาการนอนกรน หายใจลำบาก และเป็นอันตรายได้

 

อาการทอนซิลอักเสบ สังเกตได้อย่างไรบ้าง

อาการทอนซิลอักเสบ สามารถสังเกตได้จากหลาย ๆ สัญญาณ ขึ้นอยู่กับความรุนแรง และสภาพร่างกายของคนไข้แต่ละราย โดยมีตั้งแต่อาการคันระคายคอ เจ็บคอ บางรายอาจมีไข้ ในเด็กบางรายก็มีหนองที่ต่อมทอนซิล แต่ไม่มีอาการเจ็บคอร่วมด้วยเลย โดยมักมาด้วยอาการไอที่ไม่ทราบสาเหตุ ในขณะที่บางรายจะมีอาการไอ มีน้ำมูก เป็นหวัด หรือเป็นไซนัสอักเสบ เป็นภูมิแพ้ร่วมด้วยได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน ดังนั้น หากพบอาการผิดปกติดังกล่าว เป็นติดต่อกันไม่หายใน 1-2 สัปดาห์ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและวางแผนในการรักษาให้เหมาะสม

 

ใครบ้าง ที่เสี่ยงป่วยเป็นทอนซิลอักเสบได้ง่ายกว่าปกติ

ทอนซิลอักเสบ เป็นภัยใกล้ตัวที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทั้งยังสามารถติดต่อกันได้ง่าย ทั้งนี้ กลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสป่วยเป็นทอนซิลได้มากกว่าคนปกติทั่วไป ได้แก่

    • เด็กเล็ก และเด็กที่อยู่ในสถานรับเลี้ยง เนื่องจากเมื่อเด็ก ๆ ป่วยแล้ว จะมีการไอ จาม โดยไม่ได้ป้องกันตัวเองให้ดีเหมือนผู้ใหญ่ จึงเสี่ยงใช้มือสัมผัสเชื้อโรคที่ติดอยู่ตามสิ่งของเครื่องใช้และนำเข้าปากได้ง่าย ทำให้ได้รับเชื้อจนทอนซิลอักเสบในที่สุด หรือในเด็กบางรายก็เป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว จะเสี่ยงคออักเสบได้ง่ายกว่าปกติ ถ้าควบคุมอาการไม่ดี ไม่มีการดูแลอย่างถูกสุขลักษณะก็จะเสี่ยงติดเชื้อจนทอนซิลอักเสบและมีอาการรุนแรงได้
    • กลุ่มคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ เพราะการนอนน้อยจะทำให้ภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำลง จึงเสี่ยงติดเชื้อที่ต่อมทอนซิลจนทำให้เกิดอาการทอนซิลอักเสบได้ง่ายกว่าคนที่พักผ่อนเพียงพอ
    • กลุ่มคนที่รับประทานอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ เช่น คนที่ชอบรับประทานอาหารสุกดิบ อาหารปิ้งย่าง ของทอด เพราะมีความเสี่ยงที่เชื้อโรคจะเข้าไปติดในช่องปากได้ง่าย และทำให้เกิดอาการทอนซิลอักเสบในที่สุด

 

วินิจฉัยอย่างไร ถึงชัวร์ว่าใช่ทอนซิลอักเสบ

การวินิจฉัยโรคทอนซิลอักเสบ แพทย์สามารถทำได้จากการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และพิจารณาจากอาการได้เลยโดยตรง ซึ่งโดยมากแล้วคนไข้มักจะมาด้วยอาการ เจ็บคอ หรือรู้สึกเหมือนมีอะไรติดคอ บางรายพบมีอาการต่อมน้ำเหลืองที่คอโตร่วมด้วย ซึ่งในรายที่ต่อมน้ำเหลืองคอโต มักมาด้วยอาการมีก้อนโตที่คอ กดเจ็บ เมื่อตรวจร่างกายก็จะพบว่าต่อมทอนซิลในช่องปากบวมแดง และอาจมีหนองได้ ทั้งนี้ การวินิจฉัยอาการทอนซิลอักเสบ ยังสามารถแยกได้ตามลักษณะของการติดเชื้อที่แตกต่างกันไปได้ด้วย ดังต่อไปนี้ 

    • ทอนซิลอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย ส่วนใหญ่จะมีหนองที่ต่อมทอนซิล
    • ทอนซิลอักเสบจากเชื้อไวรัส EBV (Epstein-Barr) มีลักษณะเป็นหนองคล้ายกับการติดเชื้อแบคทีเรีย การได้รับเชื้อมาจากการกินอาหารร่วมกัน ติดต่อผ่านทางน้ำลาย ในเด็กเล็กมักเป็นการติดต่อมาจากผู้ใหญ่ ผ่านการจูบ หอม แสดงความรักต่อเด็ก เรียกว่า Kissing Disease ในกลุ่มผู้ป่วยทอนซิลอักเสบจากไวรัส EBV จะต้องวินิจฉัยด้วยการตรวจนับเม็ดเลือด หรือการตรวจ CBC
    • ทอนซิลอักเสบมีแผลร้อนใน ที่ต่อมทอนซิลจะมีลักษณะเป็นปื้นขาว
    • นิ่วทอนซิลอักเสบ มีลักษณะเป็นปื้นสีขาวคล้ายหนอง แต่ถ้าตรวจสัมผัสบริเวณต่อมทอนซิลแล้วจะไม่เจ็บ ตัวก้อนนิ่วมีขอบเขตที่ชัดเจน ไม่เละ ต่างจากหนองเชื้อแบคทีเรีย ที่แผลจะเละคล้ายคราบโยเกิร์ต กดสัมผัสแล้วรู้สึกเจ็บ

 

วิธีการรักษาทอนซิลอักเสบ ทำได้อย่างไรบ้าง

แนวทางในการรักษาทอนซิลอักเสบ แพทย์จะทำการวินิจฉัยแยกโรคก่อนว่าเป็นทอนซิลอักเสบจากเชื้อไวรัสหรือว่าเชื้อแบคทีเรีย และพิจารณารักษาด้วยการให้ยาฆ่าเชื้อ ร่วมกับยาลดปวด ใช้สเปรย์ลดอาการอักเสบและปวดในช่องปาก รวมถึงให้ยารักษาตามอาการอื่น ๆ เช่น ยาแก้ไอ ยาลดเสมหะ และยาอมเพื่อเพิ่มความชุ่มคอ เป็นต้น

 

นอกจากให้รับประทานยาแล้ว แพทย์จะแนะนำให้ดูแลรักษาช่องปากให้ดีและสะอาดอยู่เสมอ เช่น ให้กลั้วคอด้วยน้ำสะอาด น้ำยาบ้านปาก หรือน้ำเกลือ ให้นอนพักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงหรืองดรับประทานอาหารรสจัด ของทอด ของสุกดิบ หรืออาหารที่ร้อนจัดเกินไป เพื่อลดความเสี่ยงการติดเชื้อในช่องปาก แต่สำหรับในคนไข้บางรายที่มีอาการเจ็บมาก แพทย์ก็อนุโลมให้จิบน้ำเย็นได้

 

ในกรณีที่ปล่อยให้ทอนซิลอักเสบนานเกินไป ไม่รีบรักษา อาการอาจรุนแรงจนเป็นฝีหนองที่ทอนซิลได้ เรียกว่า Peritonsillar Abscess ซึ่งจะมีอาการเจ็บคอมาก อ้าปากได้น้อย และมีภาวะหายใจลำบาก ถือเป็นอาการที่ต้องได้รับการผ่าตัดแบบเร่งด่วน และอีกในกรณีที่แพทย์จะพิจารณารักษาด้วยการผ่าตัด คือในกลุ่มผู้ป่วยที่ต่อมทอนซิลอักเสบซ้ำ ๆ ไม่หาย โดยการผ่าตัดสามารถทำได้หลายวิธี เช่น ผ่าตัดแบบจี้ไฟฟ้า หรือ โมโนโพล่า (monopolar) ซึ่งเป็นวิธีการรักษามาตรฐาน การผ่าตัดแบบใช้คลื่นเสียงความถี่สูง หรือ Harmonic Scalpel (HS) เป็นต้น ทั้งนี้ในกระบวนการผ่าตัดทุกรูปแบบ จะมีการให้ยาสลบและฉีดยายาเฉพาะที่ร่วมด้วย เพื่อช่วยห้ามเลือดและลดอาการปวดหลังผ่าตัด 

 

ดูแลป้องกันตัวเองอย่างไร ให้ปลอดภัยจากทอนซิลอักเสบ

ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ก็สามารถดูแลตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการติดเชื้อ และปลอดภัยจากโรคทอนซิลอักเสบได้ โดยมีแนวทางในการปฏิบัติตัวง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

  1. พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่นอนดึกตื่นสาย ควรเข้านอนก่อน 4 ทุ่ม เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันร่างกายที่ดี
  2. หลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชนที่มีคนพลุกพล่าน เพื่อลดความเสี่ยงในการรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย
  3. ในกรณีที่ต้องเดินทางไปในที่ชุมชน ควรสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากละอองน้ำลาย หรือการสัมผัส ไอ จามใส่กัน
  4. ล้างมือบ่อย ๆ ให้สะอาดด้วยสบู่ โดยเฉพาะหลังจากกลับมาจากข้างนอก และก่อนรับประทานอาหาร
  5. หลีกเลี่ยงการรับประทานของทอด ของสุกดิบ
  6. หากมีคนในบ้านเป็นทอนซิลอักเสบ มีการสวมหน้ากาก และแยกภาชนะ ของใช้ ไม่ควรใช้ร่วมกัน กรณีเด็กเล็กในบ้านติดเชื้อทอนซิลอักเสบ ไม่สามารถสวมหน้ากากได้ สมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวควรสวมหน้ากากแทนเพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ

 

ทอนซิลอักเสบ เป็นภัยใกล้ตัวที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศทุกวัย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งแม้จะไม่ได้มีอาการรุนแรงมากนัก แต่ถ้าปล่อยทิ้งไว้ ก็จะรบกวนการใช้ชีวิตและเสี่ยงทำให้เกิดอันตรายได้ การหมั่นสังเกตอาการ เจ็บคอ ไอ จาม สำรวจสุขภาพการเปลี่ยนแปลงในช่องปากของตัวเอง ตลอดจนคนใกล้ชิดในครอบครัว ถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เรารับมือกับโรคทอนซิลอักเสบได้ดีที่สุด โดยหากพบอาการผิดปกติที่ชวนสงสัยว่าอาจเป็นทอนซิลอักเสบ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย และวางแผนการรักษาให้หายดีโดยเร็ว

 

 

“ที่ไหนมี คนพลุกพล่าน ควรหลีกเลี่ยง เพื่อลดความเสี่ยง ติดเชื้อช่องปาก แบบไม่คาดฝัน สวมใส่หน้ากาก เมื่อออกจากบ้าน ในทุกทุกวัน จะช่วยป้องกัน ทอนซิลอักเสบ ได้เป็นอย่างดี อาหารสุกดิบ เมนูของทอด ควรลดให้น้อย อย่านอนดึกบ่อย พักผ่อนให้มาก เพื่อความสุขี ล้างมือสะอาด ดูแลตัวเองให้เต็มที่ ภูมิคุ้มกันดี ทอนซิลก็ดี หนีพ้นโรคภัย”


แชร์

Loading...
Loading...
Loading...