สถานการณ์คนไข้หลอดเลือดหัวใจตีบในประเทศไทยเป็นประเด็นที่ควรใส่ใจ โดยข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า มีผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดเฉลี่ยประมาณ 58,681 คนต่อปี หรือประมาณ 7 คนต่อชั่วโมง และอัตราการเสียชีวิตนี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อโรคนี้เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนที่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เช่น การรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพจำพวกอาหารที่ไขมันสูงและโซเดียมสูง การไม่ออกกำลังกาย การมีความเครียดสูง การสูบบุหรี่เป็นประจำ และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก ซึ่งล้วนส่งผลให้เกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบ และนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลว รวมถึงโรคหัวใจอื่นๆ ที่ต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาล
อาการแบบไหนที่เสี่ยงหลอดเลือดหัวใจตีบ ?
โรคหลอดเลือดหัวใจตีบโดยส่วนมากมักไม่แสดงอาการออกมา จึงนับว่าเป็นภัยเงียบที่แฝงในร่างกาย ระยะที่แสดงอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบจะเกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดหัวใจตีบแคบลง จนกระทบต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังกล้ามเนื้อหัวใจ โดยอาการที่สำคัญ ได้แก่
- เจ็บหน้าอก มักเกิดขึ้นเมื่อมีการออกแรงหรือมีความเครียด และอาจรู้สึกแน่นหรือเจ็บที่กลางหน้าอก ร้าวไปที่แขนซ้าย คอ หรือกราม
- เหนื่อยง่าย ผู้ป่วยอาจรู้สึกอ่อนเพลียหรือเหนื่อยง่ายแม้จะทำกิจกรรมที่ไม่หนัก
- ใจสั่นและเหงื่อออก ในบางรายอาจมีอาการใจสั่นหรือเหงื่อออกมากผิดปกติ
- วูบหรือหมดสติ ในกรณีที่รุนแรง อาจเกิดอาการวูบหมดสติหรือหัวใจหยุดเต้นได้
อาการเหล่านี้บ่งชี้ถึงภาวะหัวใจขาดเลือด ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หากมีอาการดังกล่าว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม
ทางเลือกในการรักษาหลอดเลือดหัวใจตีบ
ทางเลือกในการรักษาหลอดเลือดหัวใจตีบมีหลายทางด้วยกัน หากตรวจพบในระยะแรกแพทย์อาจเลือกให้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตร่วมกับการใช้ยา และสุดท้ายหากอาการยังไม่ดีขึ้นแพทย์อาจพิจารณาการรักษาด้วยหัตถการการผ่าตัด
การปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต
-
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ลดการบริโภคไขมันทรานส์และโซเดียม
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- เลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มแอลกอฮอล์
- จัดการความเครียด
การใช้ยา
-
- ยาควบคุมระดับไขมันในเลือด
- ยาลดความดันโลหิต
- ยาต้านเกล็ดเลือด เพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดมาอุดเส้นเลือดหัวใจ
การรักษาด้วยหัตถการหรือการผ่าตัด
ในกรณีที่โรคเส้นเลือดหัวใจตีบรุนแรงและไม่สามารถควบคุมด้วยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตหรือการใช้ยา อาจต้องพิจารณาการรักษาด้วยหัตถการหรือการผ่าตัด
-
- การสวนหัวใจ (Cardiac Catheterization) เป็นการใช้สายสวนที่มีบอลลูนติดปลายสาย ผ่านเข้าไปในหลอดเลือดที่ตีบ บอลลูนจะถูกพองตัวเพื่อขยายหลอดเลือดที่ตีบให้เลือดไหลผ่านได้ดีขึ้น อาจมีการใส่ขดลวด (Stent) ซึ่งมีลักษณะเป็นตาข่ายโลหะที่ช่วยค้ำจุนผนังหลอดเลือดให้คงรูป
- การผ่าตัดบายพาส (Coronary Artery Bypass Graft: CABG) เป็นการผ่าตัดเปิดทรวงอกเพื่อสร้างเส้นทางเดินใหม่สำหรับเลือดไหลเวียนไปยังหัวใจ โดยใช้หลอดเลือดจากส่วนอื่นของร่างกาย เช่น ขา หลอดเลือดแดงในช่องอก มาต่อเข้ากับหลอดเลือดหัวใจที่ตีบ เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น
การเลือกวิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค ตำแหน่งและความยาวของเส้นเลือดที่ตีบ รวมถึงสภาพร่างกายของผู้ป่วยเอง ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาและแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวผู้ป่วย
โรคหัวใจสามารถป้องกันได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ด้วยการเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อคัดกรองความเสี่ยงของโรคหัวใจ หรือหากท่านมีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก หรือรู้สึกเหนื่อยง่าย ควรเข้ามาปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจและหลอดเลือดโดยทันที เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยที่ถูกต้องและวางแผนการรักษาที่เหมาะสม โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์มีความพร้อมทั้งในด้านทีมแพทย์เฉพาะทางและเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัย รวมถึงเทคโนโลยี Bi-plane DSA ที่สามารถร่วมรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้โดยไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งเทคโนโลยีนี้ช่วยให้แพทย์มองเห็นเส้นเลือดได้อย่างชัดเจน เพิ่มความแม่นยำและเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา เราพร้อมที่จะดูแลสุขภาพหัวใจของคุณอย่างเต็มที่ เพื่อให้คุณมีสุขภาพดีและปลอดภัยจากโรคหัวใจ