“ที่หมอตัดสินใจศึกษาต่อด้านโรคทางเดินอาหารและตับ ก็เพราะหมอเห็นคนไข้จำนวนไม่น้อยที่ต้องทนกับอาการปวดท้องเรื้อรัง อย่างโรคกระเพาะ ซึ่งก็มีหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการกิน หรือความเครียด โดยเฉพาะในวัยทำงาน อาการเหล่านี้มันไม่ได้แค่ปวด แต่สร้างความทุกข์ให้เขาในทุกๆ วัน หมออยากช่วยให้เขากลับมากินอาหารได้ตามปกติ อยากกินอะไรก็ได้กิน และใช้ชีวิตได้โดยไม่ต้องทรมานกับอาการปวดท้องบ่อยๆ”

 

จุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจสู่การเป็นแพทย์เฉพาะทางระบบทางเดินอาหารและตับ

พญ.ปาลิตา ชวนเกริกกุล สำเร็จการศึกษาจากคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. 2550 ก่อนจะต่อยอดความรู้และทักษะด้านเวชปฏิบัติในสาขาอายุรศาสตร์ที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ในปี พ.ศ. 2553-2556

 

ด้วยความสนใจในกลไกการทำงานของร่างกายมนุษย์ที่ซับซ้อน โดยเฉพาะระบบทางเดินอาหารและตับ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการดูดซึมสารอาหารและควบคุมสมดุลของสุขภาพโดยรวม คุณหมอจึงได้ศึกษาต่อในอนุสาขาอายุรศาสตร์ระบบทางเดินอาหารและโรคตับ ณ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ระหว่างปี พ.ศ. 2556-2558

 

จากประสบการณ์ในตรวจรักษาผู้ป่วยจำนวนมาก พญ.ปาลิตา ชวนเกริกกุล ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการตรวจคัดกรองในกลุ่มเสี่ยง รวมถึงการตรวจวินิจฉัยโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งคุณหมอบอกว่า

 

“การตรวจคัดกรองโรคทางเดินอาหารและโรคตับในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคมะเร็งลำไส้ ผู้ที่มีปัจจัยหรือพฤติกรรมเสี่ยงในการเกิดโรคตับ เช่น มีการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ คือกุญแจสำคัญในการรักษาที่มีประสิทธิภาพ และถือเป็นมาตรการสำคัญ เพราะการตรวจพบโรคตั้งแต่ระยะแรกเริ่ม จะช่วยเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด และช่วยให้ผู้ป่วยกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีได้”

 

ความเชี่ยวชาญในการดูแลผู้ป่วยโรคระบบทางเดินอาหารและตับแบบองค์รวม

พญ.ปาลิตา ชวนเกริกกุล เป็นแพทย์ชำนาญการด้านอายุรศาสตร์ระบบทางเดินอาหารและโรคตับ โดยมีประสบการณ์ในการดูแลผู้ป่วยที่หลากหลาย ตั้งแต่โรคที่พบบ่อย เช่น กรดไหลย้อน กระเพาะอาหารอักเสบ ลำไส้แปรปรวน ลำไส้อักเสบเรื้อรัง ไปจนถึงโรคที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น ตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งลำไส้ใหญ่

 

คุณหมอให้ความสำคัญกับการตรวจวินิจฉัยอย่างแม่นยำ โดยใช้เทคโนโลยีการส่องกล้องที่ทันสมัย เช่น การส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้ใหญ่ (Gastroscopy & Colonoscopy) เพื่อค้นหาความผิดปกติตั้งแต่ระยะเริ่มต้น การตัดชิ้นเนื้อเพื่อวินิจฉัย หรือการตัดติ่งเนื้อที่อาจกลายเป็นมะเร็งในอนาคต

 

“การดูแลโรคระบบทางเดินอาหารและโรคตับ ต้องอาศัยทั้งความเชี่ยวชาญเฉพาะทางและการใส่ใจในรายละเอียดของผู้ป่วยแต่ละราย การใช้เทคโนโลยีการส่องกล้องช่วยให้ตรวจพบโรคได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อผลการรักษา ทั้งยังมีส่วนช่วยในการป้องกัน เป็นเหมือนการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม”

 

ตรวจเพื่อความมั่นใจ ให้คำแนะนำเชิงป้องกัน

พญ.ปาลิตา ชวนเกริกกุล จะให้คำแนะนำสำหรับผู้ที่มีอาการปวดท้องเรื้อรัง ควรเข้ามาปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่นๆ แพทย์จะได้พิจารณาว่าจำเป็นต้องตรวจเพิ่มเติม เช่น อัลตร้าซาวด์ หรือส่องกล้องกระเพาะอาหารและลำไส้หรือไม่ เพราะอวัยวะภายในช่องท้อง เช่น ตับอ่อน ท่อน้ำดี หรือแม้แต่กระเพาะอาหาร ไม่สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ด้วยตาเปล่า

 

หากตรวจแล้วไม่พบความผิดปกติก็จะได้คลายกังวล แต่หากพบความผิดปกติตั้งแต่ระยะแรก การรักษาก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในกรณีกลุ่มโรคมะเร็งในช่องท้อง อย่างมะเร็งตับอ่อนหรือมะเร็งกระเพาะอาหาร ที่มักพบในระยะลุกลาม เพราะผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมาพบแพทย์เมื่อมีอาการมากแล้ว ซึ่งในหลายกรณีอาจสายเกินไป

 

สำหรับเรื่องความเป็นส่วนตัว ที่ศูนย์ส่องกล้องของโรงพยาบาลมีห้องตรวจแบบไพรเวท พร้อมห้องรับรองเฉพาะ มีห้องน้ำส่วนตัวแยกชัดเจน เจ้าหน้าที่ดูแลใกล้ชิดทุกขั้นตอน เพื่อให้ผู้เข้ารับการตรวจรู้สึกผ่อนคลายและได้รับความสะดวกสบาย

 

ปลดเปลื้องความกลัว ด้วยการอธิบายให้เห็นภาพ

เมื่อผู้ป่วยรู้สึกกลัวหรือไม่กล้าตรวจส่องกล้อง พญ.ปาลิตา ชวนเกริกกุล จะใช้การอธิบายอย่างเรียบง่าย พร้อมเปรียบเทียบให้เห็นภาพว่า การส่องกล้องไม่ได้น่ากลัว เพราะกล้องที่ใช้จะอยู่ในสายยางขนาดเล็กและนิ่ม มีเส้นผ่านศูนย์กลางพอๆ กับปากกา

 

การส่องกล้องก็จะสอดผ่านทางปาก เข้าไปตามแนวหลอดอาหารอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ได้มีการเจาะหรือทำอะไรที่ซับซ้อน หากไม่พบความผิดปกติมากนัก ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาเพียงประมาณ 5-10 นาทีเท่านั้น ไม่ได้นานและไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายคนกังวล

 

นอกจากนี้ ยังมีทางเลือกในการตรวจ โดยสามารถเลือกตรวจแบบไม่ใช้ยาสลบ ซึ่งคนไข้จะรู้สึกตัวตลอดเวลา หรือใช้ยาสลบแบบอ่อนๆ ที่ทำให้รู้สึกตัวน้อยลง และถ้าต้องการความสบายใจสูงสุด ก็สามารถเลือกใช้ยาสลบแบบที่ไม่รู้สึกตัวเลยก็ได้ ทั้งหมดนี้คุณหมอจะช่วยประเมินและแนะนำให้เหมาะสมกับผู้ป่วยเป็นรายบุคคล เพื่อให้การตรวจเป็นไปอย่างปลอดภัยที่สุด

 

การดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม

นอกจากนี้ คุณหมอยังมีการดูแลผู้ป่วยแบบองค์รวม โดยคำนึงถึงทั้งร่างกาย จิตใจ พฤติกรรม และวิถีชีวิตของผู้ป่วย รวมถึงการทำงานร่วมกับทีมแพทย์เฉพาะทางในสาขาต่างๆ อย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะในกรณีที่มีโรคร่วมหรือภาวะแทรกซ้อน เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลที่ครอบคลุม ปลอดภัย และเหมาะสมกับอาการเฉพาะบุคคล

 

“การดูแลผู้ป่วยโรคทางเดินอาหารและโรคตับ ไม่ใช่แค่การรักษาอาการของโรค แต่คือการเข้าใจความซับซ้อนของร่างกายและโรคอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสภาพจิตใจของผู้ป่วย การดูแลด้วยใจที่พร้อมรับฟังและใส่ใจในทุกมิติจึงมีความสำคัญ เพราะจะช่วยให้ผู้ป่วยมีความเชื่อมั่นและช่วยลดความเครียดของผู้ป่วยได้ในระหว่างการรักษา”

 

บทบาทผู้นำทางวิชาชีพและการพัฒนาบริการรักษา

ด้วยประสบการณ์ทางคลินิกที่ลึกซึ้ง ผสานกับความมุ่งมั่นและความเอาใจใส่ต่อผู้ป่วยอย่างแท้จริง พญ.ปาลิตา ชวนเกริกกุล ได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่ง หัวหน้าหน่วยอายุรศาสตร์ระบบทางเดินอาหารและส่องกล้อง โรงพยาบาลพญาไท พหลโยธิน ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2567 เป็นต้นมา

 

ในบทบาทผู้นำด้านวิชาชีพ คุณหมอให้ความสำคัญกับการพัฒนาระบบการดูแลรักษาให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ยกระดับคุณภาพบริการด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์สมัยใหม่ควบคู่กับแนวคิดการดูแลแบบองค์รวม พร้อมผลักดันให้เกิดการทำงานร่วมกันในรูปแบบทีมสหสาขาวิชาชีพ (Multidisciplinary Team) เพื่อให้การรักษาผู้ป่วยมีประสิทธิภาพสูงสุด ครอบคลุมทั้งด้านร่างกายและจิตใจ และตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะบุคคลของการดูแลสุขภาพ

 

การเรียนรู้อย่างไม่สิ้นสุด เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ป่วย

แม้จะดำรงตำแหน่งหัวหน้าหน่วยอายุรศาสตร์ระบบทางเดินอาหารและส่องกล้อง พญ.ปาลิตา ชวนเกริกกุล  ยังคงยึดมั่นในหลัก “ไม่หยุดพัฒนา” เพราะคุณหมอเชื่อมั่นว่า การอัปเดตความรู้และเทคโนโลยีใหม่ๆ คือหนึ่งในหัวใจสำคัญของการดูแลผู้ป่วย