Doctor : นพ. พิษณุ สุนทรปิยะพันธ์

เจาะลึกอาการปวดจากออฟฟิศซินโดรม…กับคุณหมอเฉพาะทางเวชศาสตร์ฟื้นฟู

ถ้าคุณเป็นหนึ่งในมนุษย์ออฟฟิศที่ทำงานนั่งโต๊ะเป็นเวลานานหลายชั่วโมง โดยที่ไม่ยอมขยับตัวไปไหน แม้แต่ลุกไปเข้าห้องน้ำก็ยังขี้เกียจ เพราะกลัวเสียเวลา คุณหมอขอเตือนเลยว่า พฤติกรรมเหล่านี้แหละ คือสาเหตุหลักที่ทำให้คุณกลายเป็นออฟฟิศซินโดรมโดยไม่รู้ตัว และถ้าไม่รีบรักษา เตรียมรอรับอาการปวดเรื้อรังกันได้เลย

เชคลิสต์…พฤติกรรมเสี่ยง “ออฟฟิศซินโดรม”

ปัจจัยที่ทำให้เกิดออฟฟิศซินโดรมนั้นแบ่งออกง่ายๆ เป็น 4 อย่าง “นั่งทำงานนานๆ (Long Duration) นั่งผิดท่า หรือนั่งในท่าที่ไม่เหมาะสม (Awkward Posture) การทำอะไรซ้ำๆ (Repetition) หรือแม้แต่การคลิกเม้าท์ ที่ทำให้เราต้องเกร็งบ่า ไหล่อยู่ตลอดเวลา และสำหรับคนที่ต้องออกแรงมากๆ (Force) เช่น คนที่ต้องยกกระเป๋าวันละหลายร้อยใบ” ซึ่งอาการปวดที่เกิดจากการกระทำเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เข้าข่ายออฟฟิศซินโดรมทั้งนั้น

ปวดแบบไหน…ไม่ใช่แค่เมื่อยธรรมดา

ใครที่ยังไม่แน่ใจว่าอาการปวดที่เป็นอยู่นั้น ใช่ออฟฟิศซินโดรมหรือเปล่า คุณหมอแบ่งการสังเกตระดับความปวดได้ออกเป็น 3 ระดับ

● Level 1: ปวดล้าในช่วงเวลาทำงาน พอกลับบ้านไป นอนพัก อาการก็จะดีขึ้น อาการปวดนี้จะไม่รบกวนการทำงาน เพราะเมื่อได้กลับไปพัก ตื่นเช้ามาก็สามารถทำงานได้ตามปกติ อาการแบบนี้จะเป็นๆ หายๆ แต่เมื่อไหร่ที่มีความเครียดอย่างช่วงปลายเดือนหรือปลายปีก็อาจจะมีอาการปวดนี้เกิดขึ้น
● Level 2: อาการปวดจะเริ่มเป็นในช่วงแรกของการทำงาน และต่อให้กลับบ้านไปพักก็ยังไม่หาย อาจมีอาการกดเจ็บ ปวด บวม ชา และอ่อนแรง ซึ่งในระยะนี้อาการปวดจะเริ่มรบกวนการนอน ความสามารถในการทำงานเริ่มลดลง และอาการจะยังคงอยู่เป็นเดือนๆ การทำกายภาพบำบัด จะช่วยคืนประสิทธิภาพในการใช้ชีวิตได้

● Level 3: ถ้าอาการปวดหนักถึงขั้นนี้ คือต่อให้ทำงานนิดเดียว ก็จะเมื่อยล้า หรือแม้ทำงานเบาๆ อาการปวดก็จะยังไม่หาย เสาร์อาทิตย์ก็ยังคงปวดอยู่ รบกวนการนอน อาการเหล่านี้จะอยู่นานเป็นเดือนๆ หรือปี ต้องรีบรักษากันด่วน

แต่ไม่ว่าจะปวดแบบไหน ก็ต้องรีบรักษา เพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่เรื้อรัง

รักษาให้ถูกจุด…ต้องแก้ตั้งแต่ต้นเหตุ

สำหรับใครที่พอเมื่อยปุ๊บ ก็วิ่งเข้าหาร้านนวดปั๊บ คุณหมอบอกว่านั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด เพียงแต่มันเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ “การนวดเป็นการทำให้กล้ามเนื้อที่ตึงมันหย่อน เพิ่มการไหลเวียนของเลือดในระดับผิวๆ เพราะฉะนั้น การที่เรามาวิเคราะห์ ตรวจประเมินด้วยแพทย์ หรือนักกายภาพบำบัดจะช่วยให้ประเมินได้ถูกจุดกว่า ว่าเราปวดเมื่อยตรงไหน เกิดจากกระดูกหรือเส้นเอ็นส่วนไหน เพื่อวางโปรแกรมการรักษาได้ถูกต้อง”

แต่ต่อให้คุณเข้าโปรแกรมรักษาและฟื้นฟูกล้ามเนื้อหนักแค่ไหน ถ้า “ตัวคุณ” ไม่ยอมปรับเปลี่ยนพฤติกรรม สิ่งที่ทำมาทั้งหมดก็ไร้ประโยชน์ เริ่มดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้ จัดสภาพแวดล้อมในการทำงานให้เหมาะสม ลุกเดินบ้าง และอย่าลืมออกกำลังกายยืดเหยียดกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรง เพื่อการใช้งานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

นพ. พิษณุ สุนทรปิยะพันธ์
แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด
ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด
โรงพยาบาลพญาไท 2 อาคาร 1 ชั้น 16
โทร 0-2617-2444 ต่อ 1618 – 20