“ในฐานะที่เป็นแพทย์ เรารู้ว่าเหนืออื่นใด… คนไข้ทุกคนต้องการหายจากโรค แต่จะให้ดีกว่านั้น ทุกขั้นตอนการรักษาหรือการผ่าตัด เราต้องใส่ใจในรายละเอียด และทำจากความรู้ความเชี่ยวชาญที่เรามี ทั้งจากการศึกษา การฝึกฝน และประสบการณ์ เราจะต้องไม่หยุดพัฒนา หาความรู้ใหม่ๆ มาใช้ในการรักษา เพื่อความปลอดภัยของคนไข้ ได้ผลการรักษาที่ดี และลดการเกิดผลข้างเคียงให้มากที่สุด”
จากประสบการณ์ การเป็นแพทย์ใช้ทุนที่กรมแพทย์ทหารเรือ และได้ดูแลคนไข้ในแผนกสูตินรีเวช ตลอด 3 ปี เมื่อมาเป็นแพทย์ประจำบ้าน ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นพ. โซ่สกุล บุณยะวิโรจ จึงได้ศึกษาต่อด้านสูตินรีเวชโดยตรง และได้กลับไปเป็นสูตินรีแพทย์อย่างเต็มตัวที่ รพ. ทหารเรือ สัตหีบ จังหวัดชลบุรี โดยในแต่ละเดือนจะมีการทำคลอดอยู่ราว 50 ราย จึงมีความประทับใจในการได้เห็นการเกิดของเด็กทารก รู้สึกเป็นเหมือนหนึ่งในผู้มีส่วนร่วมทำให้การเกิดนั้นสมบูรณ์แบบ
ในด้านการรักษาโรคนรีเวชนั้น เมื่อมีนวัตกรรมการผ่าตัดส่องกล้องเข้ามาในประเทศไทย ก็ได้ริเริ่มนำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยนรีเวช เช่น การผ่าตัดปีกมดลูก มดลูก ถุงน้ำรังไข่ และได้เป็นแพทย์คนแรกของราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ที่ทำการ “ต่อหมันสตรีด้วยวิธีการผ่าตัดส่องกล้องต่อท่อนำไข่” ซึ่งจะต้องใช้ความละเอียดในการเย็บแผลให้สนิทด้วยเส้นไหมขนาดเล็ก เพื่อป้องกันการเกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูก ซึ่งวิธีการนี้ได้พัฒนามาจากการศึกษาการผ่าตัดแบบ Microsurgery หรือ จุลศัลยกรรมในช่วงปี พ. ศ. 2539 นั่นเอง
เมื่อพบว่าปัญหาซึ่งเป็นความเดือนร้อนหนักของคนไข้สตรีคือ โรคมะเร็ง นพ. โซ่สกุล บุณยะวิโรจ จึงมีความมุ่งมั่นที่จะศึกษาต่อที่คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล จนได้เป็นแพทย์ผู้ชำนาญการอนุสาขามะเร็งนรีเวชวิทยา ในปี พ. ศ. 2549
จากความรู้และประสบการณ์การรักษาคนไข้มะเร็งนรีเวชกว่า 20 ปี และการไม่หยุดนิ่งในการศึกษางานวิจัยต่างๆ ทำให้พบว่าการรักษามะเร็งในปัจจุบันมีทางเลือกที่หลากหลายขึ้น เช่น การเลือกใช้ยาชนิดมุ่งเป้าต่อมะเร็งชนิดนั้นๆ การตรวจลงลึกถึงระดับยีน ซึ่งจะช่วยให้การเลือกใช้ยา การกำหนดปริมาณยา รวมถึงการใช้เคมีบำบัด และรังสีรักษาเป็นไปอย่างเหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากขึ้น คนไข้ไม่ต้องได้รับยาหรือเคมีบำบัดเกินความจำเป็น ทำให้ปัญหาภาวะแทรกซ้อนลดลงได้
ในด้านการผ่าตัดมะเร็งนรีเวชนั้น ด้วยความเป็นแพทย์ผู้ชำนาญการด้านการผ่าตัดสูตินรีเวชผ่านกล้อง ทำให้การผ่าตัดเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลดการกระทบต่ออวัยวะข้างเคียงได้ดี คนไข้ฟื้นตัวไว และไม่ต้องมีรอยแผลขนาดใหญ่อีกด้วย
“แน่นอนว่าการรักษามะเร็งย่อมมุ่งไปที่การรักษาให้หาย แต่หัวใจสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือการให้คนไข้ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับโรคมะเร็งที่เป็นอยู่มากเกินความจำเป็น การดูแลไม่ให้โรคลุกลามเร็วหรือเกิดภาวะแทรกซ้อนที่จะไปกระทบต่ออวัยวะหรือเกิดโรคอื่นๆ เพิ่มเติมอีกจึงสำคัญไม่แพ้กัน”