โรคซึมเศร้าเป็นโรคทางจิตเวชที่พบบ่อยมาก แต่ผู้คนมักไม่ค่อยตระหนักว่าเป็นโรคที่ต้องรับการรักษาจากจิตแพทย์ เพราะเข้าใจว่าผู้ป่วยกำลังคิดมากไปเอง และมักแค่ปลอบใจเพียงแค่คำพูดว่า “อย่าคิดมาก” ซึ่งก็ไม่มีผลช่วยให้อารมณ์เศร้าดีขึ้นแต่อย่างใด เนื่องจากอาการเศร้าเป็นมากจนเกิดการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง (Neurotransmitter) เพราะฉะนั้นการรักษาจึงเน้นการใช้ยาต้านอารมณ์เศร้าเป็นหลัก
โรคซึมเศร้ามีผลต่อภาวะอารมณ์ (เช่น ไม่สดชื่น หดหู่ เศร้าหมอง หงุดหงิด) และความคิด (เช่น มองตัวเองและผู้อื่นในทางลบ) รวมทั้งอาการต่างๆของร่างกาย (เช่น ไม่มีสมาธิ อ่อนเพลีย หมดอารมณ์ทางเพศ) และที่อันตรายมากที่สุดคือ…พฤติกรรมทำร้ายตนเอง!!!
สิ่งที่กระตุ้นให้เกิด “ภาวะซึมเศร้า”
อาการของโรคซึมเศร้าอาจเกิดขึ้นโดยมีปัจจัยกระตุ้น เช่น ความเครียดหรือภาวะกดดันในชีวิต (เช่น ปัญหาหนี้สิน ความเจ็บป่วย ฯลฯ) หรือการสูญเสีย (เช่น สอบตก อกหัก การนอกใจในคู่สมรส ฯลฯ) แต่ก็มีบางกรณีที่พบได้มาก คือ ผู้ป่วยเกิดโรคซึมเศร้าได้เองโดยไม่มีเรื่องกระทบจิตใจแต่อย่างใด
อาการและอาการแสดงของโรคซึมเศร้า (เป็นนานเกิน 2 สัปดาห์ขึ้นไป)
อารมณ์
- ไม่สดชื่น ไม่เบิกบาน หมดสนุก
- หดหู่ เศร้าหมอง เบื่อหน่าย ท้อแท้ชีวิต
- หงุดหงิด ฉุนเฉียวง่าย อ่อนไหวต่อคำพูด
ความคิด
- ไม่มีสมาธิในการทำงาน ความจำแย่ลง
- มองโลกในแง่ร้าย ไม่มีสิ่งดีๆในตนเอง ขาดความมั่นใจในตนเอง
- รู้สึกว่าตัวเองผิด (อย่างไม่สมเหตุสมผล) รู้สึกตัวเองไร้คุณค่า
- คิดอยากทำร้ายตนเอง หรือไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป
อาการทางกาย
- อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เคลื่อนไหวเชื่องช้า
- ปวดหัว ปวดกล้ามเนื้อต่างๆ
- หลับยาก หลับไม่สนิท หลับแล้วตื่นกลางดึก (นอนต่อไม่หลับ)
- ไม่สนใจทำกิจกรรมที่เคยชอบ ขาดความกระตือรือร้น
โรคซึมเศร้ามิได้เป็นเพียงแค่อารมณ์เศร้าที่เกิดจาก “ปัญหาในการปรับตัว” ต่อความเครียดเท่านั้น (กรณีนี้ ภาวะเศร้ามักค่อยๆดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป) หากผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวต่อเนื่องเกิน 2 สัปดาห์ มีปัญหาบกพร่องในการทำงาน รวมถึงความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง…ควรคิดถึง “โรคซึมเศร้า”
โรคซึมเศร้า รักษาได้ด้วยวิธีนี้
ปัจจุบันการรักษาโรคซึมเศร้าได้ผลดีมาก..โดยการใช้ยาต้านอารมณ์เศร้า (Antidepressants) ซึ่งมีหลายชนิด เราพบว่าผู้ป่วยแต่ละรายมักได้ผลยาแต่ละชนิดแตกต่างกัน ซึ่งแพทย์จะเริ่มต้นให้ยาในขนาดน้อยๆแล้วพิจารณาปรับเพิ่มขนาดยาจนถึงระดับที่ออกฤทธิ์ได้ผล ซึ่งมักใช้ระยะเวลาประมาณ 4 – 6 สัปดาห์ หากไม่ได้ผล แพทย์จะพิจารณาเปลี่ยนยา เพราะฉะนั้นผู้ป่วยควรรับการรักษาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากการกินยาแล้ว จิตแพทย์จะให้การบำบัดด้วยการ “ปรับความคิด – เปลี่ยนพฤติกรรม” (Cognitive – Behavioral Therapy) เพื่อให้ผู้ป่วยมีมุมมองทางบวกต่อตนเองและโลกภายนอก เห็นทางออกของปัญหา และตระหนักถึงศักยภาพของตนเองในการเผชิญเรื่องท้าทายของชีวิต รวมทั้งการปรับเปลี่ยนรูปแบบในการดำเนินชีวิต (Life style) เพื่อสร้างความรื่นรมย์และความเบิกบานให้แก่ชีวิต
ในกรณีที่อารมณ์เศร้าเป็นรุนแรงมาก (เช่น มีความเสี่ยงสูงที่จะทำร้ายตนเอง) หรือมีอาการโรคจิตร่วมด้วย (เช่น ระแวง หูแว่ว ประสาทหลอน) จิตแพทย์จะรับไว้รักษาตัวในโรงพยาบาล โดยมีญาติดูแลอย่างใกล้ชิดเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้น
กรณีที่กินยาจนอาการเศร้าดีขึ้นแล้ว ไม่ควรหยุดยาเองเพราะอาจทำให้อาการเศร้ากำเริบได้ แพทย์จะพิจารณาให้ผู้ป่วยกินยา (ในขนาดต่ำที่สุด) อย่างต่อเนื่องเป็นปีจนสามารถหยุดยาได้ในที่สุด
ความช่วยเหลือจากญาติ
- รับฟัง เปิดโอกาสให้ผู้ป่วยระบายความทุกข์ใจ เข้าใจและยอมรับโดยไม่มีการตอกย้ำซ้ำเติม
- ชักจูงให้ผู้ป่วยร่วมกิจกรรมที่สนุกสนานหรือท่องเที่ยวสถานที่ธรรมชาติ
- ดูแลให้ผู้ป่วยกินยาตามเวลาอย่างสม่ำเสมอ
- รายงานแพทย์ทันที หากพบว่าผู้ป่วยมีความคิดอยากทำร้ายตนเอง