ไข้หวัดนก (avian influenza หรือ bird flu) เกิดจากเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เอกลายพันธุ์ ซึ่งเกิดในสัตว์ปีก ไม่ว่าจะเป็น นก เป็ด ไก่ ทั้งที่เกิดตามธรรมชาติ หรือถูกเลี้ยงในโรงเรือน สัตว์ประเภทอื่นบางสายพันธุ์ก็สามารถเสี่ยงเป็นโรคไข้หวัดนก H5N1 ได้เช่นกัน แต่โดยส่วนใหญ่จะพบในสัตว์ปีกเช่น นก เป็ด ไก่ และ นก ดังนั้นจึงเรียกโรคไข้หวัดนกว่า avian influenza หรือ bird flu
นี่คือช่องทางในการส่งต่อเชื้อจากสัตว์ปีกสู่คน!
การติดเชื้ออาจเกิดขึ้นในขณะการขนส่ง หรือตามสถานที่ที่มีการขายสัตว์ปีก ผ่านการที่มนุษย์สัมผัสกับสัตว์ที่ติดเชื้อเหล่านี้ ซึ่งสามารถเกิดกับคนได้ทุกเพศทุกวัย เชื้อไวรัสจะส่งผ่านอุจจาระและสารคัดหลั่งของสัตว์ปีกที่ติดเชื้อ หากมีการสัมผัสกับอุจจาระหรือสารคัดหลั่งที่มีเชื้อ หายใจเอาเชื้อเข้าร่างกาย
นอกจากนี้ การรับประทานสัตว์ปีก หรือไข่ของสัตว์ปีกโดยไม่ผ่านการปรุงสุก ก็ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกได้ โดยเนื้อสัตว์ปีกที่ปลอดภัยคือเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกด้วยความร้อน 74 องศาเซลเซียสขึ้นไป ส่วนไข่ของสัตว์ปีก เช่น ไข่ไก่ หรือไข่เป็ด ควรปรุงจนกว่าไข่ขาวและไข่แดงจะสุก
เราติดเชื้อไข้หวัดนกหรือไม่? สังเกตได้จากอาการเหล่านี้
- อาการจะคล้ายกับไข้หวัดใหญ่ แต่มีความรุนแรงกว่า เช่น มีไข้สูง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดศีรษะ
- มีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ เช่น ไอ หรือมีน้ำมูกไหล
- ผู้ป่วยบางรายมีอาการเริ่มแรกอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน เช่น ท้องเสีย อาเจียน ปวดท้อง เจ็บหน้าอก มีเลือดออกตามไรฟัน มีเลือดกำเดาไหล หรือมีอาการเยื่อบุตาอักเสบ
นอกจากนี้มีผู้ป่วยจำนวนมากที่้ในช่วงต้นๆ จะพบอาการที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจ เช่น หายใจลำบาก เสียงแหบแห้ง และมีเสียงครืดคราดเวลาที่หายใจ มีเสมหะ บางรายอาจมีเลือดปนออกมาในเสมหะด้วย
ไม่อยากติดเชื้อไข้หวัดนก นี่คือแนวทางป้องกันตนเอง
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับนกและสัตว์ปีก (ที่ยังมีชีวิตอยู่หรือที่ตายแล้ว) หรืออุจจาระของสัตว์เหล่านี้
- หากสัมผัสถูกสัตว์เหล่านี้ให้ใช้สบู่ล้างมือให้สะอาดทันที
- ปรุงอาหารจากผลิตภัณฑ์ที่ได้จากสัตว์ปีกและไข่ ให้สุกก่อนรับประทาน
- ผู้เดินทางที่กลับมาจากพื้นที่ที่มีการติดเชื้อควรไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด หากรู้สึกมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ โดยแจ้งแพทย์ถึงประวัติการเดินทาง และสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
รู้ไหม? ยิ่งพบแพทย์เร็ว…ยิ่งเพิ่มโอกาสรักษาไข้หวัดนก
หากเรามีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคไข้หวัดนก H5N1 ควรรีบไปโรงพยาบาลทันที เนื่องจากโรคไข้หวัดนก H5N1 สามารถรักษาให้หายได้ หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที เมื่อแพทย์วินิจฉัยได้อย่างแน่ชัดแล้วว่าผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนก แพทย์จะให้ผู้ป่วยรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยแยกผู้ป่วยออกจากผู้ป่วยคนอื่นๆ และต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาการของโรคไข้หวัดนก H5N1 ค่อนข้างรุนแรง อีกทั้งยังสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน
ทั้งนี้ในช่วงรักษาตัว แพทย์จะแนะนำให้พักผ่อนและดื่มน้ำมาก ๆ และรับประทานยาพาราเซตามอล (Paracetamol) เพื่อลดอาการไข้และอาการปวด ควบคู่ไปกับการรักษาด้วยยาต้านเชื้อไวรัสเพื่อลดความรุนแรงของอาการ ป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น และเพิ่มโอกาสในการรอดชีวิต โดยยาเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพในการรักษาสูงหากผู้ป่วยได้รับยาภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากอาการเริ่มแสดง แต่ในกรณีของไข้หวัดนก ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัดว่าจะเป็นเช่นเดียวกันหรือไม่ ดังนั้นควรได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด แม้จะเลยจาก 48 ชั่วโมงแรกหลังแสดงอาการก็ตาม
พญ. วงสวัณณ์ ศีลพิพัฒน์
อายุรแพทย์ โรงพยาบาลพญาไท 2