เดี๋ยวนี้คงไม่มีใครรอให้ป่วยก่อนแล้วค่อยมานั่งรักษากันแล้ว เพราะหลายครั้งที่มันกลายเป็น ‘ไม่ทันการณ์’ จึงทำให้หลายคนหันมาใช้ชีวิตแบบ Preventive กันมากขึ้น ทั้งปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิต ปรับเรื่องอาหารการกิน รวมไปถึงเทรนด์ที่กำลังมาแรงอย่างการทานวิตามิน

วิถี New Normal…กับการดูแลสุขภาพแบบเชิงรุก

ซึ่งถ้าดูจากข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติจะเห็นว่า คนไทยนั้นบริโภคอาหารกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและกลุ่มแร่ธาตุวิตามินมากขึ้น โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 19.1% ในปี 2556 เป็น 21.6% ในปี 2560 และล่าสุดยังมีผลสำรวจกลุ่มตัวอย่างของดุสิตโพลเกี่ยวกับวิถีชีวิต New Normal ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ที่พบว่า กว่า 45.39% ของกลุ่มตัวอย่างหันมาให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ทั้งออกกำลังกาย รับประทานอาหารเสริมและวิตามินเพื่อดูแลสุขภาพให้สมบูรณ์แข็งแรงด้วยเช่นกัน

เมื่อการทานวิตามินมากไป…ก็ไม่ใช่เรื่องดี

การอัดวิตามินเข้าไปมากๆ โดยไม่ได้ศึกษาให้ดีก่อน ก็อาจนำมาซึ่งอันตรายได้ เช่นกัน เพราะวิตามินนั้นมีทั้งชนิดที่ละลายได้ในน้ำ เช่น วิตามินบี วิตามินซี และละลายในไขมัน เช่น วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอีและวิตามินเค ซึ่งไม่ว่าจะเป็นชนิดไหน หากเราทานมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี ยกตัวอย่างเช่นวิตามินซี แม้ว่าร่างกายจะสามารถขับส่วนที่เกินออกมาได้ แต่หากทานมากเกินไปก็อาจไปเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดนิ่วได้เหมือนกัน หรือการทานวิตามินอีและวิตามินเคมากเกินไปก็อาจส่งผลต่อระบบการแข็งตัวของเลือดได้เช่นกัน ดังนั้นการจะทานวิตามินให้ได้ประโยชน์ควรทานในปริมาณที่เหมาะสม ไม่โอเวอร์โดสจนเกินไป

คำถามคือ…เราจะรู้ได้ยังไงว่าวิตามินที่เราทานอยู่นั้นพอดีแล้วหรือยัง หรือการทานวิตามินหรืออาหารเสริมที่ทานกันอยู่นั้น ทำให้ร่างกายของเราดีขึ้นจริงหรือเปล่า?

คำตอบก็คือ…เราจะรู้ได้จากผลตรวจสุขภาพนั่นเอง

เพราะการตรวจสุขภาพ…ไม่ใช่แค่ ‘เครื่องมือประเมินสมรรถภาพของร่างกาย’ อีกต่อไป

วัตถุประสงค์ของการตรวจสุขภาพนั้นคือการประเมินสุขภาพควบคู่ไปกับการค้นหาความเสี่ยงในการเกิดโรคต่างๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในร่างกายของเรา เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษา ลดความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อน รวมไปถึงความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้การตรวจสุขภาพก็ยังสามารถนำมาใช้มอนิเตอร์สุขภาพได้เช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนที่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือมีการทานวิตามินหรืออาหารเสริมมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง เพราะค่าต่างๆ จากผลเลือด ค่าตับ ค่าไต เม็ดเลือด ค่าไขมัน ผลเอ็กซเรย์ หรือผลอัลตร้าซาวด์ต่างๆ เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับผลตรวจสุขภาพในครั้งก่อนหน้า ก็จะทำให้เห็นว่าสิ่งที่เราปรับมานั้นทำให้ร่างกายดีขึ้นหรือไม่ อย่างไร หรือเรากำลังมาถูกทางหรือเปล่า ในทางตรงกันข้ามหากเราไม่มีการมอนิเตอร์เราก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่าสิ่งที่เราทำนั้นทำให้เกิดประโยชน์หรือโทษต่อร่างกายกันแน่ เพราะฉะนั้นการตรวจสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เรามอนิเตอร์ร่างกาย รวมไปถึงวางแผนการใช้ชีวิตได้อย่างถูกต้อง

รู้ลึก…รู้จริง ด้วยตรวจเจาะลึกระดับฮอร์โมนและวิตามิน

นอกจากการตรวจสุขภาพโดยทั่วไปแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ยังมีโปรแกรมที่ตรวจเจาะลึกเพื่อเช็กระดับฮอร์โมนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมนเพศ ฮอร์โมนความเครียด รวมไปถึงเช็กระดับของวิตามินที่สำคัญของร่างกาย เช่น วิตามินดี หรือ วิตามินบี 12 เพราะเรื่องของฮอร์โมนและวิตามินเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพโดยตรง ยกตัวอย่างเช่นการขาดวิตามินดี ไม่ใช่แค่ส่งผลต่อเรื่องของกระดูกเพียงอย่างเดียว แต่ยังอาจส่งผลต่อเรื่องภูมิคุ้มกัน การต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ของร่างกายด้วย ดังนั้นการตรวจวิเคราะห์ระดับฮอร์โมนและวิตามินจะนอกจากจะช่วยให้เรารู้สถานะสุขภาพของตัวเองแล้ว ยังจะทำให้เราสามารถวางแผนการมีสุขภาพที่ดี และยืนยาว เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้เต็มศักยภาพตามไลฟ์สไตล์ที่เป็นตัวเอง

และบางครั้งการตรวจสุขภาพปีละครั้งอาจไม่เพียงพอ เพราะยิ่งเรามอนิเตอร์สุขภาพได้อย่างต่อเนื่องมากเท่าไหร่ จะยิ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรค และเสริมความแข็งแรงให้ได้อย่างตรงจุดมากเท่านั้น

[base64_img]

ไม่อยากรู้หรอ? หลังจากกินวิตามิน(เสริม)มา...สุขภาพดีขึ้นจริงมั้ย