โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรป้องกันและสังเกตอาการ

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ควรป้องกันและสังเกตอาการ

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากอะไร?

โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ที่มีเชื้อชนิดต่างๆ โดยไม่ได้ป้องกัน ไม่ว่าจะเป็นการร่วมเพศผ่านทางช่องคลอด ทางทวารหนัก หรือทางปากก็สามารถติดเชื้อได้ ทั้งนี้ แต่ละโรคก็เกิดจากเชื้อ รวมถึงมีลักษณะและอาการของโรคที่แตกต่างกัน เช่น

 

โรคเริม

โรคเริม เกิดจากเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า Herpe Simplex Virus (HSV) ซึ่งสามารถแพร่กระจายผ่านการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน รวมถึงการสัมผัสผ่านทางผิวหนัง ใครก็ตามที่ได้รับเชื้อโรคชนิดนี้อาจส่งผลให้เชื้ออยู่ในร่างกายตลอดชีวิต ผู้ป่วยมักมีรอยถลอกของผิวหนังหรือเยื่อบุอ่อนบริเวณใกล้เคียง หรือตุ่มใสขนาด 1-2 มม.ขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ ทำให้ปัสสาวะแสบขัดจากการที่น้ำปัสสาวะทำให้เกิดการระคายเคืองที่แผล โดยอาการมักแสดงเมื่อร่างกายอ่อนแอหรือมีภูมิคุ้มกันตก

 

โรคหูดหงอนไก่

โรคหูดหงอดไก่ เกิดจากเชื้อ Human Papillomavirus: HPV ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดโรคมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิง สามารถติดต่อผ่านการเพศสัมพันธ์ทั้งเพศชายและหญิง หากผู้ที่มีเชื้อมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงอาจจะมีอาการใดๆ เลย หรือคนที่ไม่แข็งแรงอาจเกิดติ่งเนื้อลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำปลีขึ้นอย่างชัดเจนในบริเวณอวัยวะเพศ ช่องคลอด ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ หรือบริเวณง่ามขา โดยที่ผู้ป่วยอาจพบรอยโรคในหลายๆ ตำแหน่งได้

 

โรคซิฟิลิส

โรคซิฟิลิส เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Treponema Polidum เกิดได้ที่บริเวณช่องคลอด ทวารหนัก และปาก หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ จนส่งผลต่อระบบประสาท หัวใจ สมอง และระบบต่างๆ ของร่างกาย โดยอาจมีความรุนแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้

 

โรคหนองในแท้

โรคหนองในแท้ เกิดจากแบคทีเรียที่ชื่อว่า Neisseria Gonorrhoeae ซึ่งเป็นแบคทีเรียที่สามารถเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนในเยื่อเมือกบุผิวของร่างกายอย่างง่ายดาย โดยสามารถเติบโตในพื้นที่ที่มีความอุ่นและชื้นอย่างระบบสืบพันธุ์ ได้แก่ ปากมดลูก มดลูก ท่อนำไข่ และท่อปัสสาวะ รวมถึงบริเวณปาก ลำคอ และทวารหนัก

  • อาการในเพศหญิง มีอาการตกขาวผิดปกติ ลักษณะเป็นน้ำ หรือเส้นบางๆ สีออกเขียวหรือเหลือง หรือตกขาวมีปริมาณมากขึ้นทำให้ปัสสาวะแล้วรู้สึกเจ็บหรือแสบ มักมีเลือดออกระหว่างรอบเดือนและหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือประจำเดือนมามากผิดปกติ
  • อาการในเพศชาย มีหนองสีเหลืองหรือเขียวไหลออกมาจากส่วนปลายของอวัยวะเพศ โดยอาจเกิดขึ้นหลังการมีเพศสัมพันธ์รู้สึกเจ็บหรือแสบขณะปัสสาวะ และเกิดการอักเสบบริเวณหนังหุ้มปลายอวัยวะเพศ

 

โรคหนองในเทียม

โรคหนองในเทียม เกิดจากเชื้อโรคที่ชื่อว่า Chlamydia Trachomatis แต่เป็นเชื้อคนละตัวกับ หนองในแท้ จนทำให้ร่างกายมีอาการผิดปกติ มักพบเจอบ่อยในกลุ่มวัยรุ่นไปจนถึงวัยทำงาน ผู้ป่วยบางรายอาการของโรคจะไม่แสดงให้เห็น แต่สามารถแพร่กระจายต่อไปยังผู้อื่นได้หากมีเพศสัมพันธ์แบบไม่มีการป้องกันอย่างถูกวิธี

  • อาการในเพศหญิง มีอาการตกขาวที่แปลกไปจากเดิม มีลักษณะเมือกๆ ผสมกับหนอง รวมถึงกลิ่นแรงมาก ระหว่างปัสสาวะจะมีความรู้สึกแสบๆ หรือเจ็บปวดบริเวณอวัยวะเพศ และอาจมีเลือดออกมาทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อยู่ในช่วงมีประจำเดือน
  • อาการในเพศชาย บริเวณปลายองคชาติจะมีน้ำเมือกๆ หรือขุ่นใสไหลออกมาโดยไม่ใช่ทั้งอสุจิและปัสสาวะ ระหว่างปัสสาวะจะมีความรู้สึกแสบๆ หรือเจ็บปวดบริเวณอวัยวะเพศ และมีอาการปวดและบวมบริเวณลูกอัณฑะ

 

การติดเชื้อ HPV หรือ Human papillomavirus

ไวรัส Human papillomavirus เป็นสาเหตุของโรคหลายชนิด โดย HPV แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ

  • HPV ชนิดก่อมะเร็ง : มี 14 สายพันธุ์ ทำให้เป็นโรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด โดยสายพันธุ์ 16 และ 18 เป็นสาเหตุของมะเร็งปากมดลูกถึงประมาณร้อยละ 70 รองลงมาคือ สายพันธุ์ 45, 31 และ 33
  • HPV ชนิดไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง :ไม่ได้ทําให้เกิดมะเร็งปากมดลูก แต่เป็นสาเหตุของหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศ เช่นสายพันธุ์ HPV 6 และ 11 ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการ เนื่องจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถกำจัดเชื้อไวรัสได้ก่อนที่จะเกิดหูดขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยที่มีหูดขึ้น อาจมีลักษณะของหูดที่ปรากฏแตกต่างกันตามสายพันธุ์ของไวรัส
  • หูดชนิดทั่วไป ลักษณะเป็นตุ่มเล็กๆ สัมผัสแล้วรู้สึกขรุขระ อาจมีสีเนื้อ สีขาว สีชมพู หรือสีน้ำตาลอ่อน มักขึ้นตามมือ นิ้วมือ หรือข้อศอก ส่วนใหญ่ไม่ก่อให้เกิดอันตราย แต่อาจสร้างความเจ็บปวดได้ในบางครั้ง และผิวหนังบริเวณที่เกิดหูดอาจบาดเจ็บ หรือมีเลือดออกได้ง่ายกว่าปกติ
  • หูดชนิดแบนราบ มีขนาดเล็ก พื้นผิวเรียบ สีเข้มกว่าสีผิวปกติและนูนขึ้นมาจากผิวหนังเล็กน้อย เกิดขึ้นได้กับทุกส่วนของร่างกาย หากเป็นเด็กมักพบตามใบหน้า ในผู้หญิงมักเกิดบริเวณขา ส่วนผู้ชายจะพบได้บ่อยบริเวณเครา
  • หูดฝ่าเท้า เป็นตุ่มแข็ง สัมผัสแล้วรู้สึกหยาบ มักขึ้นบริเวณส้นเท้าหรือเนินปลายเท้า และทำให้รู้สึกเจ็บในระหว่างยืนหรือเดิน
  • หูดอวัยวะเพศหรือหูดหงอนไก่ เป็นติ่งเนื้อลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำ มักเกิดขึ้นบริเวณอวัยวะเพศหญิง อวัยวะเพศชาย และทวารหนัก ส่วนใหญ่จะไม่เจ็บ แต่อาจทำให้รู้สึกคัน

หากท่านสงสัยว่าตนเองหรือคนใกล้ชิดมีความเสี่ยง รวมทั้งมีอาการต่างๆ อย่างที่กล่าวมา ควรรีบไปโรงพยาบาล เพื่อทำการตรวจ รักษา และติดตามผลการรักษาจากแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หลายโรค หากปล่อยทิ้งไว้อาจเป็นอันตรายรุนแรง หรือทำให้เสียชีวิตได้เลยทีเดียว

 


นัดหมายแพทย์

แชร์

หากสนใจต้องการปรึกษาแพทย์

กรุณากรอกข้อมูลเพื่อให้เราติดต่อกลับ




บทความแนะนำ

“ไข้” เรื่องธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา

พญาไท 2

เป็นไข้ ตัวร้อน อาจเกิดได้ทั้งจากการติดเชื้อ และภาวะต่างๆ ของร่างกาย หากมีไข้ติดต่อกันหลายวัน กินยาแล้วไม่หาย มีอาการอื่นร่วมด้วยหรือมีไข้สูงเกิน 38.5 องศา ควรพบแพทย์ แต่หากสูงเกิน 39.4 องศา ควรพบแพทย์ให้เร็วทันที

ไม่อยากเสี่ยงติดเชื้อไข้หวัดนก H5N1 นี่คือคำแนะนำจากคุณหมอ!

พญาไท 2

ไข้หวัดนก (avian influenza หรือ bird flu) สามารถส่งผ่านเชื้อจากสัตว์ปีกมาสู่คนได้ และเพื่อการป้องกันการติดเชื้อ นี่คือคำแนะนำให้การดูแลตนเองจากคุณหมอ

รู้ทัน 'มะเร็งไต' โรคเงียบที่อาจคร่าชีวิตได้!

พญาไท 2

มะเร็งไต (Kidney Cancer) เป็นโรคที่เกิดจากเซลล์ไตเจริญเติบโตผิดปกติจนกลายเป็นเนื้อร้าย สามารถลุกลามหรือแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นได้ หากไม่ตรวจพบตั้งแต่ระยะแรกอาจส่งผลต่อการรักษา บทความนี้สรุปประเภทของมะเร็งไต สาเหตุ อาการ การวินิจฉัย การรักษา และแนวทางการป้องกันอย่างครบถ้วน

ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ เอาชนะได้เมื่อรักษาอย่างถูกวิธี

พญาไท 2

โรคภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ไม่ว่าจะเป็นภูมิแพ้โพรงจมูกอักเสบ เยื่อบุตาอักเสบ และโรคหืด สามารถรักษาด้วยการปรับภูมิคุ้มกัน เพื่อให้อาการดีขึ้นหรือหายขาดจากโรคภูิมิแพ้นี้ได้