“ไข้” เรื่องธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา

<h2 class="paragraph"><span style="color: #00826a;">ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องของ “ไข้”</span></h2>
<div class="contrainer2-margin">
<div class="paragraph">
<ul>
<li>เป็นไข้ตัวร้อนหลายวัน กินยา นอนพัก เดี๋ยวก็หาย</li>
<li>ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่แล้ว ทำไมยังเป็นไข้หวัดได้อีกล่ะ</li>
<li>ไข้ก็แค่มีน้ำมูก ตัวร้อน ปวดตัว แค่นี้แหละ ไม่เป็นอะไรมากหรอก</li>
</ul>
<div>แท้จริงแล้ว “ไข้” ที่ว่าเป็นเรื่องธรรมดา อาจไม่ใช่เรื่องธรรมดาอย่างที่คุณเข้าใจ</div>
<div></div>
<div></div>
</div>
</div>
<div>
<h2 class="paragraph"><span style="color: #00826a;">สาเหตุที่ทำให้มีไข้</span></h2>
</div>
<div class="paragraph">
<div>เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น</div>
</div>
<div class="paragraph">
<div>1. ร่างกายเกิดภาวะการติดเชื้อ</div>
<div class="contrainer2-margin">
<ul>
<li>จากเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ หัด เป็นต้น</li>
<li>จากเชื้อแบคทีเรีย เช่น อาหารเป็นพิษ โรคไอกรน โรคฉี่หนู และโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นต้น</li>
</ul>
</div>
<div>2. เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันในร่างกาย</div>
<div>3. เกี่ยวกับการอักเสบ</div>
<div>4. ภาวะร่างกายขาดน้ำ</div>
<div>5. การตากแดดเป็นเวลานาน</div>
<div>6. บางครั้งอาจมีไข้โดยไม่ทราบสาเหตุ (FUO, Fever of unknown origin) หรือ พียูโอ (PUO, Pyrexia of unknown origin)</div>
</div>
<div class="paragraph">
<p>&nbsp;</p>
<h2><span style="color: #00826a;">อาการไข้เกิดขึ้นได้อย่างไร?</span></h2>
<div>อาการไข้เป็นภาวะที่อุณหภูมิในร่างกายเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าอุณหภูมิปกติ ซึ่งปกติจะอยู่ที่ 37 องศาเซลเซียส</div>
<div></div>
<div></div>
<div>อุณหภูมิปกติของร่างกายเกิดจากการทำงานของอวัยวะต่างๆโดยเฉพาะกล้ามเนื้อและตับ ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของสมองส่วนที่เรียกว่า ไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) ซึ่งเป็นสมองส่วนอยู่ลึกของสมองใหญ่ ทั้งนี้การควบคุมอุณหภูมิของร่ายจะโดยการกำจัดความร้อนที่เกิดในร่างกายออกทางเหงื่อ (ทางผิวหนัง) และทางการหายใจ (ทางปอด)</div>
<div></div>
<div></div>
<div>เมื่อร่างกายเกิดการติดเชื้อโรคหรือจากบางสาเหตุ (เช่น มีเลือดออกในสมอง) จะส่งผลกระตุ้นให้สมองไฮโปธาลามัสตอบสนองด้วยการปรับอุณหภูมิร่างกายให้สูงขึ้น เนื้อเยื่อที่จะทำหน้าที่เพิ่มอุณหภูมิของร่างกายตามคำสั่งของสมองคือ กล้ามเนื้อและหลอดเลือด โดยหลอดเลือดจะหดตัวเพื่อป้องกันไม่ให้ความร้อนแพร่กระจายออกทางผิวหนังและทางปอด ซึ่งการหดตัวของหลอดเลือดนอกจากส่งผลให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้นแล้ว จะส่งผลให้ผู้มีไข้รู้สึกหนาวจากมีการลดปริมาณของเลือดที่หล่อเลี้ยง นอกจากนั้นกล้ามเนื้อต่างๆจะหดเกร็งจึงก่ออาการหนาวสั่น ซึ่งทั้งหมดคือ อาการไข้ขึ้น</div>
<div></div>
<div></div>
<div>แต่เมื่อการกระตุ้นสมองไฮโปธาลามัสลดลง สมองไฮโปธาลามัสจะตอบสนองด้วยการปรับลดอุณหภูมิร่างกาย หลอดเลือดจะกลับมาขยาย เนื้อเยื่อต่างๆ ได้รับเลือดเพิ่มขึ้น อุณหภูมิในเนื้อเยื่อเหล่านั้นจึงเพิ่มขึ้น ร่างกายจึงขับความร้อนออกทางเหงื่อ ดังนั้นจึงเกิดอาการเหงื่อออกเมื่อไข้ลดลง</div>
<div></div>
<h2><span style="color: #00826a;">รู้เท่าทันอาการไข้</span></h2>
<ul>
<li>เมื่อคุณรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว เหมือนจะเป็นไข้ ท่านสามารถประเมินอาการเบื้องต้นด้วยการใช้ปรอทวัดไข้ตรวจวัดอุณหภูมิของร่างกาย ก่อนใช้ปรอทวัดไข้ ควรสะบัดปรอทวัดไข้ให้ปรอทลงไปอยู่ต่ำสุด อมใต้ลิ้น 3 นาทีแล้วอ่านผล ถ้ามีไข้สูงเกิน 39.4 C ขึ้นไป ควรพบแพทย์ทันที</li>
<li class="contrainer2-margin">
<div>มีอาการขาดน้ำหรือไม่ จะมีอาการของการขาดน้ำ ได้แก่ กระหายน้ำมาก ปัสสาวะน้อย หรือสีเข้มมาก เวียนศีรษะ ปากแห้งมาก ความยืดหยุ่นของผิวหนังลดลง ควรพบแพทย์ทันที</div>
</li>
</ul>
<p>&nbsp;</p>
</div>
<div class="paragraph">
<div class="paragraph">
<h2><span style="color: #00826a;">ลดไข้อย่างไรให้ถูกวิธี ?</span></h2>
</div>
<div class="contrainer2-margin">
<div class="paragraph">
<ul>
<li>เช็ดตัวด้วยผ้าชุบน้ำ เพื่อลดไข้ และทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลงอย่างเป็นธรรมชาติ</li>
<li>หากอาการไข้ทำให้รู้สึกไม่สบายมาก สามารถรับประทานยาลดไข ทุกๆ 4-6 ชั่วโมง</li>
<li>อย่าห่อหุ้มร่างกายมากจนเกินไป เพราะจะขัดขวางการระบายความร้อน และการลดอุณหภูมิลงของร่างกาย</li>
<li>การให้น้ำทดแทน เพื่อชดเชยน้ำซึ่งสูญเสียไปกับเหงื่อโดยการดื่มน้ำประมาณ 1 แก้ว ทุก 2 ชั่วโมง อาจเป็นน้ำเปล่า น้ำผลไม้ น้ำซุป หรือน้ำอื่นๆ ที่ไม่มีแอลกอฮอล์</li>
</ul>
<p>&nbsp;</p>
</div>
</div>
<div class="paragraph">
<h2><span style="color: #00826a;">อาการแบบใด..ควรรีบพบแพทย์ ?</span></h2>
</div>
<div class="contrainer2-margin">
<div class="paragraph">
<ul>
<li>มีไข้สูงเกิน 39.4 C ขึ้นไป</li>
<li>มีไข้ร่วมกับผื่น ปวดศีรษะอย่างมาก และคอแข็งกระวนกระวายหรือสับสนมาก ไอมีเสมหะสีน้ำตาลหรือเขียว มีอาการปวดผิดปกติขณะปัสสาวะ ปวดท้อง ปวดหลังมาก</li>
<li>มีอาการขาดน้ำ</li>
<li>มีไข้หลังจากรับประทานยาบางชนิด</li>
</ul>
<p>&nbsp;</p>
</div>
</div>
<div class="paragraph">
<h2><span style="color: #00826a;">“ไข้” เป็นเรื่องไม่ธรรมดาได้อย่างไร ?</span></h2>
<div>ไข้ที่เราคิดว่าเป็นอาการของโรคที่ธรรมดา สามารถรับประทานยาแล้วอาการจะดีขึ้น แต่ในความเป็นจริง ไข้ที่ว่าธรรมดา อาจกลายเป็นเรื่องไม่ธรรมดา ถึงชีวิตได้ หากไม่รีบไปพบแพทย์ เมื่อมีอาการไข้ติดกัน 2 วัน เพราะ</div>
</div>
<div class="contrainer2-margin">
<div class="paragraph">
<ul>
<li>อาการของไข้อาจกลายเป็นไข้ที่รุนแรงขึ้น</li>
<li>ไอถี่ เจ็บคอ น้ำมูกไหลตลอดเวลา ปวดเมื่อยตัว รับประทานอาหารไม่ได้ &gt;&gt; ไข้หวัดใหญ่</li>
<li>ปวดตัวมาก ปวดหัวมาก รับประทานอาหารไม่ได้ อ่อนเพลีย หลับตลอด &gt;&gt; ไข้เลือดออก</li>
<li>กลุ่มที่มีโรคประจำตัว เช่น เบาหวาน ไตเรื้อรัง ปอดเรื้อรัง &gt;&gt; ไข้แบคทีเรียรุนแรง ติดเชื้อในกระแสเลือด</li>
<li>กลุ่มคนที่เดินทางไปต่างจังหวัดและเดินย่ำน้ำท่วมตลอดเวลา &gt;&gt; ไข้มาลาเรีย โรคฉี่หนู</li>
<li>หากมีไข้ติดต่อกันประมาณ 2 สัปดาห์ และยังมีอาการไข้หนาวสั่น บางครั้งเหมือนหวัด อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เบื่ออาหาร และน้ำหนักลด ปวดกระดูก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุ &gt;&gt; มะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งไขกระดูก</li>
</ul>
<p>&nbsp;</p>
</div>
</div>
<div class="paragraph">
<h2><span style="color: #00826a;">ใครคือกลุ่มเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อมีอาการไข้ ?</span></h2>
</div>
<div class="contrainer2-margin">
<div class="paragraph">
<ul>
<li><span style="color: #00826a;"><strong>กลุ่มผู้สูงอายุและมีโรคประจำตัว</strong></span> เช่น หัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เมื่อมีอาการไข้ ควรรีบพบแพทย์ทันที เนื่องจากกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว เป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีภาวะคุ้มกันของร่างกายที่น้อยกว่าผู้ใหญ่ปกติทั่วไป การพบแพทย์โดยทันทีเมื่อมีอาการไข้ จะช่วยให้แพทย์ให้การวินิจฉัยและรักษาได้ทันท่วงที เพราะอาการของไข้ที่รุนแรงมักจะเริ่มจากอาการของไข้ทั่วๆ ไป ซึ่งควรให้แพทย์วินิจฉัยสาเหตุของอาการไข้ให้ชัดเจน ก่อนที่อาการของโรคจะ จะรุนแรงมากขึ้นและถึงแก่ชีวิตได้</li>
<li><span style="color: #00826a;"><strong>กลุ่มเด็กเล็ก</strong></span></li>
</ul>
</div>
</div>
<div class="paragraph">
<p>&nbsp;</p>
<h2><span style="color: #00826a;">ป้องกันอาการไข้ได้อย่างไร ?</span></h2>
<div>การป้องกันไข้คือ การป้องกันสาเหตุ ซึ่งสาเหตุไข้ที่พบบ่อยที่สุดคือ จากการติดเชื้อโรค ดังนั้นการป้องกันไข้คือ การรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงและป้องกันการติดเชื้อซึ่งที่สำคัญ คือ</div>
</div>
<div class="contrainer2-margin">
<div class="paragraph">
<ul>
<li>หมั่นดูแลสุขอนามัยของตนเองด้วยการล้างมือบ่อยๆ</li>
<li>รู้จักใช้หน้ากากอนามัย</li>
<li>หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แออัดโดยเฉพาะในช่วงมีการระบาดของโรค</li>
<li>หลีกเลี่ยงการสัมผัสคลุกคลีกับผู้ป่วยโดยไม่จำเป็น</li>
<li>ฉีดวัคซีนป้องกันโรคต่างๆตั้งแต่แรกเกิดและเป็นระยะๆตามที่สาธารณสุข แพทย์ พยาบาลแนะนำ</li>
</ul>
</div>
</div>
</div>


เป็นไข้ ตัวร้อน อาจเกิดได้ทั้งจากการติดเชื้อ และภาวะต่างๆ ของร่างกาย หากมีไข้ติดต่อกันหลายวัน กินยาแล้วไม่หาย มีอาการอื่นร่วมด้วยหรือมีไข้สูงเกิน 38.5 องศา ควรพบแพทย์ แต่หากสูงเกิน 39.4 องศา ควรพบแพทย์ให้เร็วทันที

บริการ

บทความ

เกี่ยวกับเรา

สาขาโรงพยาบาล

“ไข้” เรื่องธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา

Tel

Email

บริการ

บทความ

เกี่ยวกับเรา

สาขาโรงพยาบาล