Q : เกณฑ์การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก มีอะไรบ้าง ?
A : การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักจะเน้นเพื่อทำการรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วน เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันพอกตับ หยุดหายใจขณะนอนหลับ โรคหัวใจ โรคข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น นอกจากนี้ยังทำเพื่อป้องกันหรือลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกด้วย ก่อนการผ่าตัดแพทย์จะให้ข้อมูลกับคนไข้อย่างละเอียด ตรวจร่างกายดูความพร้อม และคัดกรองผู้ป่วยที่เหมาะสมซึ่งมีข้อบ่งชี้ดังต่อไปนี้ ผู้ที่ลดความอ้วนด้วยวิธีอื่น ๆ แล้วไม่ได้ผล
ปัจจุบันเกณฑ์ในประเทศไทยมีข้อบ่งชี้ ดังนี้
- ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) > 27.5 kg/m2 ร่วมกับมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคอ้วนที่ไม่สามารถคุมได้ลดน้ำหนัก
- ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) > 32.5 kg/m2 ร่วมกับมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคอ้วน
- ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) > 37.5 kg/m2 ไม่จำเป็นต้องมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคอ้วน
- ผู้ที่ไม่มีข้อห้ามในการผ่าตัดและสามารถดูแลตัวเองได้หลังผ่าตัด
แต่สำหรับในแนวโน้มข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดทั่วโลกปัจจุบันค่าดัชนีมวลกายลดลงมา โดยจากข้อมูลล่าสุดในปี 2022 เป็นต้นมาตามข้อบ่งชี้ของสมาคมศัลยศาสตร์โรคอ้วนแห่งประเทศอเมริกา (ASMBS) และสมาคมนานาชาติเกี่ยวกับการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนและโรคทางเมแทบอลิซึม (IFSO) พบว่า อาจจะปรับเกณฑ์ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัดลดลงมาเหลือที่ ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) > 30 kg/m2 ร่วมกับมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคอ้วน, ค่าดัชนีมวลกาย (BMI) > 35 kg/m2 ไม่จำเป็นต้องมีโรคประจำตัวเกี่ยวกับโรคอ้วน โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคอ้วนเชื้อสายเอเชียที่ได้รับประโยชน์จากการผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักอาจจะมีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) > 27.5 kg/m2 อย่างไรก็ตามในผู้ป่วยที่ค่าดัชนีมวลกายน้อย แนะนำต้องพิจารณาทางเลือกในการลดน้ำหนักวิธีอื่น ๆ มาก่อน หากไม่ประสบความสำเร็จจึงเลือกวิธีการผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักเป็นวิธีการสุดท้าย
Q : ช่วงอายุเท่าใดจึงสามารถทำการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักได้ ?
A : ช่วงอายุที่เหมาะสมในการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนอันตราย คือ 18 – 65 ปี แต่จากข้อมูลล่าสุดในปี 2022 เป็นต้นมาตามข้อบ่งชี้ของสมาคมศัลยศาสตร์โรคอ้วนแห่งประเทศอเมริกา (ASMBS) และ IFSO ซึ่งเป็นสมาคมด้านการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนระดับนานาชาติพบว่า การผ่าตัดโรคอ้วนในวัยรุ่นที่อายุ 12-18 ปี หรือ ผู้สูงอายุช่วง 65-70 ปี สามารถทำได้ปลอดภัย และได้ผลดี โดยต้องพิจารณาความแข็งแรง และข้อบ่งชี้ของผู้ป่วยต่อรายโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ
Q : หากมีโรคประจำตัว อย่างเบาหวาน ความดัน สามารถทำผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักได้หรือไม่ ?
A : ผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่เกี่ยวกับโรคอ้วน เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง สามารถผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนักได้ปลอดภัย และยังช่วยให้หายขาดหรือดีขึ้นจากโรคเบาหวานหรือความดันโลหิตสูงได้อีกด้วย โดยก่อนผ่าตัดแนะนำให้ทานยาควบคุมเบาหวาน และความดันโลหิตสูงอย่างต่อเนื่องจนถึงวันผ่าตัด
Q : จริงหรือไม่? ที่การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักสามารถควบคุมโรคเบาหวานและความดันได้
A : เป็นความจริงโดยเฉพาะในรายที่ไม่สามารถควบคุมเบาหวานหรือความดันโลหิตสูงได้ด้วยยา การผ่าตัดลดน้ำหนักสามารถช่วยให้ควบคุมได้ดีขึ้นหรือในบางกรณีถ้าเป็นเบาหวานมาไม่นาน และผู้ป่วยอายุน้อยมีโอกาสหายขาดจากเบาหวานได้สูง โดยมีข้อมูลวิจัยทางการแพทย์พบว่า การผ่าตัดรักษาโรคอ้วนที่ล่าช้าออกไปทุก 1 ปีหลังเริ่มเป็นเบาหวาน จะทำให้โอกาสหายลดลงประมาณ 7%
Q : การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก มีข้อจำกัดใดบ้างที่ไม่สามารถทำการผ่าตัดได้ ?
A : ปัจจุบันข้อห้ามของการผ่าตัดรักษาโรคอ้วน คือ ผู้ป่วยที่ไม่มีความแข็งแรงพอที่จะได้รับการผ่าตัด ทั้งนี้แพทย์จะทำการประเมินสุขภาพก่อนผ่าตัดให้ทุกท่านก่อนเสมอ
Q : การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ปัจจุบันมีกี่วิธี ?
A : การผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักมีหลากหลายวิธีมาก แต่ในปัจจุบันมีวิธีที่นิยม มีทั้งหมด 4 วิธี ดังนี้
วิธีการผ่าตัดลดน้ำหนัก
1. การผ่าตัดแบบสลีฟ (Sleeve gastrectomy) เป็นการผ่าตัดแบบส่องกล้อง โดยใช้ตัวตัดกระเพาะแบบ 3 ชั้นตัดเย็บกระเพาะให้มีขนาดเล็กลงเหลือ 15-20% เพื่อปรับลดฮอร์โมนความอยากอาหาร (Ghrelin) ทำให้ทานได้น้อยลง และลดน้ำหนักได้ดีโดยน้ำหนักส่วนเกินลดลง 60-70%
2. การผ่าตัดแบบบายพาส (Roux-en-Y Gastric bypass) เป็นการผ่าตัดแบบส่องกล้อง ตัดปลายหลอดอาหารที่เชื่อมกับกระเพาะไปต่อกับลำไส้โดยตรง เพื่อปรับลดฮอร์โมนความอยากอาหาร (Ghrelin) ทำให้ทานได้น้อยลง และลดการดูดซึมอาหารร่วมด้วย ทำให้ลดน้ำหนักได้มากขึ้นและรักษาโรคร่วมที่เกิดจากโรคอ้วนได้ดียิ่งขึ้น ลดน้ำหนักได้ดีโดยน้ำหนักส่วนเกินลดลง 70-80%
3. การผ่าตัดแบบสลีฟพลัส (Sleeve gastrectomy plus proximal jejunal bypass) เทคนิคนี้เป็นเทคนิคใหม่ล่าสุด และเป็นที่นิยมในต่างประเทศ โดยเป็นผ่าตัดแบบส่องกล้องตัดกระเพาะบางส่วนให้มีขนาดเล็กลงเหลือ 15-20% ปรับลดฮอร์โมนความอยากอาหาร (Ghrelin) ทำให้ทานได้น้อยลง ร่วมกับการทำทางเชื่อมลำไส้เล็กใหม่เพื่อลดการดูดซึมอาหารร่วมด้วย ทำให้ลดน้ำหนักได้มากขึ้น และรักษาโรคร่วมที่เกิดจากโรคอ้วนได้ดียิ่งขึ้น โดยพบภาวะแทรกซ้อนต่ำกว่าการทำผ่าตัดแบบบายพาสโดยผลในการลดน้ำหนักไม่ต่างกัน ลดน้ำหนักได้ดีโดยน้ำหนักส่วนเกิดลดลง 70-80%
4. การใส่ห่วงรัดกระเพาะ การใส่ห่วงรัดกระเพาะ ทำให้ทานได้น้อยลง ปัจจุบันวิธีนี้ไม่ได้รับความนิยมมากนักเนื่องจากระยะยาวอาจจะมีปัญหาสุขภาพตามมาได้
Q : ความแตกต่างของวิธีผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักต่างกันอย่างไร ?
เปรียบเทียบเทคนิคการผ่าตัดแต่ละแบบ | |||
การผ่าตัดแบบสลีฟ | การผ่าตัดแบบบายพาส | การผ่าตัดแบบสลีฟพลัส | |
ค่าดัชนีมวลกายที่เหมาะสม | 32.5 – 50 kg/m2 | >45 kg/m2 ขึ้นไป | >45 kg/m2 ขึ้นไป |
การฟื้นตัวหลังผ่าตัด | เร็ว | ปานกลาง | เร็ว |
น้ำหนักที่ลดได้หลังผ่าตัด* | 60-70% | 70-80% | 70-80% |
โอกาสหายจากโรคเบาหวาน
และโรคร่วมอื่นๆ |
สูง | สูงมาก | สูงมาก |
กรณีมีภาวะกรดไหลย้อนรุนแรง | ไม่เหมาะสม | เหมาะสม | ไม่เหมาะสม |
โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนระยะสั้น | น้อย | ปานกลาง | น้อย |
โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนระยะยาว | น้อย | ปานกลาง | น้อย |
Q : ผลข้างเคียงจากการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักมีหรือไม่ ?
A : จากข้อมูลล่าสุดในปี 2022 เป็นต้นมาตามข้อบ่งชี้ของสมาคมศัลยศาสตร์โรคอ้วนแห่งประเทศอเมริกา (ASMBS) และสมาคมนานาชาติเกี่ยวกับการผ่าตัดรักษาโรคอ้วนและโรคทางเมแทบอลิซึม (IFSO) พบว่า ระยะยาวการผ่าตัดปลอดภัย และสามารถลดน้ำหนักได้ดีมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อเทียบกับวิธีอื่นๆ เช่น การใช้ยา หรือการใส่บอลลูนลดน้ำหนัก ส่วนในระยะสั้นมีความเสี่ยงทั่วไปจากการผ่าตัด เช่น เลือดออกในช่องท้อง กระเพาะรั่ว หรือลิ่มเลือดดำอุดตัน ซึ่งความเสี่ยงทั้งหมดในการผ่าตัดโดยศัลยแพทย์ที่เชี่ยวชาญการผ่าตัดรักษาโรคอ้วน ต่ำมาก < 1%
Q : หากผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก จะมีแผลหลังผ่าตัดแบบไหน ?
A : แผลบริเวณหน้าท้องหลังผ่าตัดเป็นแผลแบบส่องกล้องขนาดเล็ก 0.5-1.2 cm จำนวน 3 – 4 รู โดยแผลเย็บด้วยไหมละลายทั้งหมด และจะหายดีประมาณ 10-14 วัน หลังผ่าตัด
Q : การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ควรเตรียมตัวอย่างไร ?
A : การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดกระเพาะอาหาร 2 สัปดาห์ก่อนมาโรงพยาบาล งดแอลกอฮอล์/บุหรี่ ทุกชนิด 1 วันก่อนมาโรงพยาบาล
รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เลี่ยงอาหารรสจัด และเผ็ด หากต้องทานยาโรคประจำตัวสามารถทานได้ตามเวลาปกติ (ยกเว้น ยาละลายลิ่มเลือด งด 5-7 วัน) ทำความสะอาดเล็บมือ-เล็บเท้า และถอดหรือล้างสีเล็บที่นิ้วมือ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ 7-8 ชม. ต่อวัน
Q : หากผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักแล้ว จะมีโอกาสที่กลับมาอ้วนได้อีกไหม ?
A : ถึงแม้การผ่าตัดลดน้ำหนักจะเป็นวิธีการลดน้ำหนักที่ลดได้มากที่สุด และลดได้เป็นระยะเวลานานที่สุด แต่หากผู้ป่วยหลังผ่าตัดไม่มีการดูแลตัวเองร่วมด้วย รวมถึงมีนิสัยที่ชอบทานน้ำหวาน น้ำผลไม้เป็นประจำ ก็มีโอกาสที่จะกลับมาอ้วนได้เหมือนเดิมแต่โอกาสที่น้ำหนักจะกลับมาเท่าเดิมนั้นน้อยมาก โดยอยู่ที่ < 2.5%
Q : สาเหตุที่ทำให้กลับมาอ้วนอีกเกิดจากอะไร ?
A : ผู้ป่วยหลังผ่าตัดไม่มีการดูแลตัวเองร่วมด้วยรวมถึงมีนิสัยที่ชอบทานน้ำหวาน น้ำผลไม้เป็นประจำ
Q : หลังการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักใช้เวลาพักฟื้นกี่วัน ?
A : ระยะเวลานอนโรงพยาบาลทั้งหมด 4-5 วัน
วันที่ 1 เข้านอนโรงพยาบาลช่วงเช้าหรือบ่ายตามสะดวกเพื่อตรวจสุขภาพก่อนทำการผ่าตัด
วันที่ 2 ส่องกล้องทางเดินอาหาร และผ่าตัดผ่านกล้องแบบดมยาสลบ
วันที่ 3-5 พักฟื้นในโรงพยาบาล และกลับบ้านช่วงเที่ยงของวันที่ 4-5
Q : กระเพาะอาหารที่ทำการผ่าตัดจะมีผลกระทบในการดำเนินชีวิตหรือไม่ ?
A : กระเพาะอาหารหลังผ่าตัดจะแข็งแรงดี แต่เนื่องจากขนาดกระเพาะที่ลดลงผู้ป่วยต้องมีการปรับพฤติกรรมการทานอาหารร่วมด้วย เช่น ทานอาหารเน้นโปรตีน เคี้ยวให้ช้าลดลง หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำก่อน และหลังอาหาร 30 นาที
Q : หลังการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักควรรับประทานอาหารอย่างไร และเป็นระยะเวลาเท่าไหร่ ?
A : สูตรการรับประทานอาหารหลังผ่าตัดมีหลากหลายแบบโดยทั่วไปจะแบ่งเป็น
1-2 วันแรก แนะนำให้รับประทานน้ำ น้ำสมุนไพร หรือของเหลวใส ไม่ใส่น้ำตาล
2-3 วันถัดมา แนะนำให้รับประทานนมโปรตีนสูง นมทางการแพทย์ กรีกโยเกิร์ต น้ำเต้าหู้ไม่ใส่น้ำตาล หรืออาหารเหลวข้นโปรตีนสูงได้
3-14 วันถัดมา แนะนำให้รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย กากน้อย เช่น ไข่ตุ๋น ปลานึ่งชิ้นเล็กๆ ซุปผักใบเขียวต้มปลาแซลมอน เป็นต้น
14-30 วันขึ้นไป แนะนำให้รับประทานอาหารโปรตีนสูง เช่น แกงจืดเต้าหู้หมูสับ สเต๊กปลา สเต๊กไก่ เป็นต้น
Q : สามารถรับประทานอาหารแบบทั่วไปได้เมื่อไหร่ ?
A : ประมาณ 30 วันขึ้นไป แต่ยังคงเน้นให้ทานอาหารที่โปรตีนสูง หลีกเลี่ยง ข้าว แป้ง น้ำตาล น้ำหวาน ผลไม้ หลีกเลี่ยงอาหารทอด หรืออาหารมัน เน้นดื่มน้ำให้เพียงพอ 1.5-2 ลิตร/วัน เพื่อช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดี และร่างกายมีความชื้น หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และน้ำอัดลม น้ำหวาน
Q : หลังการผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักต้องกลับมาพบแพทย์อีกทั้งหมดกี่ครั้ง ?
A : หลังการผ่าตัดแพทย์จะทำการนัดทุก ๆ
2 สัปดาห์หลังผ่าตัด เพื่อดูแผลและให้คำแนะนำเกี่ยวกับการทานอาหารเพิ่มเติม
3 เดือนหลังผ่าตัด เพื่อเช็กน้ำหนักควรลดลง 20% ผลเลือดทั่วไปว่าดีขึ้นหรือไม่ เช่น ค่าน้ำตาลสะสม ค่าไขมันในเลือด
6 เดือนหลังผ่าตัด เพื่อเช็กน้ำหนักควรลดลง 30% และผลเลือดทั่วไปว่าดีขึ้นหรือไม่ เช่น ค่าน้ำตาลสะสม ค่าไขมัน รวมถึงอัลตราซาวนด์เช็ก ภาวะไขมันพอกตับว่าหายดีหรือยัง
Q : หากเคยผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักมาแล้ว สามารถทำการผ่าตัดซ้ำได้อีกหรือไม่ ?
A : หากเคยผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักมาแล้ว สามารถพิจารณาทำซ้ำได้กรณีที่ ค่าน้ำหนักผู้ป่วยยังคงสูงอยู่ BMI > 30 หรือยังคงมีปัญหาที่ไม่สามารถควบคุมโรคประจำตัวที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนได้ดี เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันพอกตับ หยุดหายใจขณะนอนหลับ เป็นต้น
Q : การผ่าตัดกระเพาะอาหารเพื่อลดน้ำหนักสามารถทำการผ่าตัดรักษานิ่วในถุงน้ำดีพร้อมกันได้หรือไม่ ?
A : การผ่าตัดกระเพาะเพื่อลดน้ำหนักพร้อมกับผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดีสามารถทำได้ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เนื่องจากเป็นการผ่าตัดที่ยากและซับซ้อนมากกว่าปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่มีน้ำหนักสูงมากอาจจะพบภาวะไขมันพอกตับร่วมด้วย ซึ่งอาจทำให้การผ่าตัดนิ่วในถุงน้ำดียากยิ่งขึ้น แต่สามารถทำได้โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นซึ่งใช้เวลาในการผ่าตัดเพิ่มประมาณ 1-2 ชั่วโมง โดยที่จำนวนแผลไม่ได้เพิ่มไปจากการผ่าตัดกระเพาะลดน้ำหนักทั่วไป
นพ.เสฐียรพงษ์ จันทวิบูลย์
ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านการผ่าตัดส่องกล้อง
ศูนย์ความเป็นเลิศด้านศัลยกรรมชั้นสูง โรงพยาบาลพญาไท 2