เพราะลำไส้ใหญ่เป็นที่กักเก็บกากอาหารเพื่อรอการขับถ่าย เวลาที่เรากินอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะเข้าไป มันก็จะทำให้ระบบขับถ่ายผิดปกติ และเกิดการหมักหมม เกิดอาการปวดท้องอยู่บ่อยๆ ซึ่งเราก็ควรที่จะต้องระวังตัว คอยเช็คสภาพลำไส้ใหญ่ด้วยเหมือนกันว่ายังทำงานได้ดีอยู่หรือเปล่า

อาการแบบไหน ที่ต้องระวัง

ใครที่เคยสงสัยว่าเราจะรู้ตัวได้ยังไงว่าเมื่อไหร่ควรถึงเวลาที่ส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ จริงๆ แล้วสังเกตเองได้ไม่ยากเลย คือเมื่อมีอาการท้องเสียอย่างเรื้อรัง อุจจาระผิดปกติ ถ่ายเป็นเลือด หรือปวดเบ่ง รู้สึกเหมือนถ่ายไม่สุด น้ำหนักเริ่มลด ซีด ปวดท้องน้อยนานๆ มีก้อนเนื้อในช่องท้อง หรือคนในครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็งลำไส้ เข้าข่ายอันไหน รีบไปโรงพยาบาลให้แพทย์ตรวจเช็คโดยด่วนจะดีกว่า

การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่…น่ากลัวมั๊ย ??

นี่ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเลย เพราะก่อนที่จะส่องกล้อง แพทย์จะให้ผู้ป่วยเคลียร์ลำไส้ใหญ่ให้สะอาด ด้วยการทานอาหารอ่อนๆ และกินยาระบายประมาณ 1-2 วัน หลังจากนั้น ในวันที่ส่องกล้อง แพทย์จะใส่กล้องที่เป็นท่อยาวๆ นิ่มๆ เข้าไปทางทวาร ขึ้นไปตามลำไส้ใหญ่ยาวประมาณ 1.5 เมตร ในจุดนี้จะทำตอนที่ผู้ป่วยรู้สึกตัวหรือฉีดยานอนหลับให้ก็ได้ แพทย์จะใช้เวลาส่องกล้องประมาณ 15-30 นาที เสร็จแล้วจะให้ผู้ป่วยนอนพัก 1-2 ชม. ก่อนปล่อยให้กลับบ้านได้ในเคสที่ไม่เจอความผิดปกติใดๆ ในเคสที่เกิดความผิดปกติ เช่นมีแผลอักเสบ เนื้องอก มะเร็ง แพทย์ก็จะส่งชิ้นเนื้อไปตรวจต่อ แต่ถ้าเคสที่เจอเนื้องอกที่ยื่นออกมาจากผนังลำไส้ แพทย์ก็จะใช้ลวดผ่านกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ และกระแสไฟฟ้าผ่านลวดอีกที เพื่อตัดก้อนเนื้อไปส่งตรวจวินิจฉัยต่อ

ส่องแล้ว…ดียังไง

ประโยชน์ของการส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ที่เราจะเห็นได้ชัดๆ ก็เพื่อดูว่าลำไส้ใหญ่ มีแผล ริดสีดวง เนื้องอก มะเร็ง หรือความผิดปกติอื่นอีกหรือไม่ ในเคสที่ผู้ป่วยมีเลือดออกจากทางเดินอาหารส่วนล่าง การส่องกล้องจะทำให้รู้สาเหตุและจุดที่เลือดออก และการส่องกล้องยังสามารถห้ามเลือดผ่านกล้องส่องตรวจลำไส้ใหญ่ได้ แต่การส่องกล้องก็มีผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้เหมือนกัน เช่น มีเลือดออกหรือลำไส้ทะลุ ซึ่งโอกาสเกิดน้อยกว่า 1:1000 หรือการติดเชื้อ เมื่อตัดก้อนเนื้อออก หรือใช้ไฟฟ้าจี้เพื่อห้ามเลือดหรือตัดชิ้นเนื้อ ซึ่งแพทย์จะให้ผู้ป่วยนอนพักเพื่อสังเกตอาการที่โรงพยาบาลจนกว่าจะปลอดภัย

ปวดท้องบ่อย กินไม่ระวัง...มาส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่กันดูหน่อยไหม