เมื่อเวลาผ่าน วัยมากขึ้น ความแข็งแรงของกระดูกย่อมเสื่อมถอยลง การดูแลใส่ใจควรมีมากขึ้น แต่คนส่วนใหญ่จะไม่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ เพราะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมองเห็นได้จากภายนอก ไม่มีความรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง กว่าจะรู้ได้ก็เมื่อกระดูกพรุนและเกิดการสึกหรอเกินกว่าจะดูแลได้
โรคกระดูกพรุน เป็นโรคที่เกิดจากความหนาแน่นของเนื้อกระดูกลดลงและมีการเสื่อมสลายของโครงสร้างภายในกระดูกทำให้กระดูกมีความเปราะบางส่งผลให้กระดูกมีความแข็งแรงน้อยลง จึงเสี่ยงกับการเกิดกระดูกหัก บาดเจ็บได้ง่าย สำหรับความแข็งแรงของกระดูกเกิดจากปัจจัยความหนาแน่นของกระดูก และคุณภาพของกระดูก เมื่อสูงอายุขึ้นกระดูกก็จะเสื่อมสภาพไปตามวัย รวมถึงการขาดการออกกำลังกาย การดื่มสุรา การรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมน้อย เป็นต้น
อาการของโรคกระดูกพรุนโดยทั่วไปมักจะมี 2 ระยะคือ
- ในระยะเริ่มต้นที่มวลกระดูกเริ่มลดลงเรื่อยๆ ผู้ป่วยมักจะไม่มีอาการอะไรเลย ส่วนใหญ่มักจะเริ่มต้นในผู้หญิงที่เริ่มหมดประจำเดือน และมีปัจจัยเสี่ยง ช่วงนี้สามารถตรวจสอบได้จากการวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกเท่านั้น
- ในระยะที่กระดูกพรุนชนิดรุนแรง คือมีกระดูกโปร่งบางมาก ร่วมกับมีกระดูกสันหลังหักยุบ หรือการเกิดกระดูกสะโพกหัก ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดหลัง หลังโก่งค่อม และสังเกตได้ว่าส่วนสูงของผู้ป่วยลดลง ในบางครั้งอาการปวดหลังอาจจะร้าวมาที่บริเวณหน้าอก หลังโก่ง ทานข้าวได้น้อยลง อืดท้องแน่นท้อง มักจะพบได้ในผู้ป่วยที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป บางครั้งอาจเกิดกระดูกหักที่ตำแหน่งบริเวณข้อมือ กระดูกหักง่าย ปวดเมื่อยตามร่างกาย
ปัจจัยเสี่ยงกับโรคกระดูกพรุน
- ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะเพศหญิง
- หญิงวัยหมดประจำเดือน หรือตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง
- กระดูกหักจากกระดูกบาง
- ผู้ที่ขาดการออกกำลังกาย
- รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมไม่เพียงพอ
- สูบบุหรี่จัด
- ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และคาเฟอีนปริมาณมากๆ เป็นประจำ
- ผู้ที่กินยาบางชนิดซึ่งทำให้การดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายลดลง เช่น ยารักษาไทรอยด์ ยาสเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะ เป็นต้น
- ผู้ที่ป่วยเป็นโรคที่เกิดจากการทำงานของต่อมไร้ท่อผิดปกติ เช่น โรคไทรอยด์โรคเบาหวาน
- โรคของต่อมหมวกไต หรือการเข้าเฝือกเป็นระยะเวลานาน โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
การวินิจฉัย
ปัจจุบันแพทย์สามารถวินิจฉัยกระดูกโปร่งบางก่อนเกิดอาการ โดยตรวจความหนาแน่นของกระดูก Bone Mineral Density หรือ BMD การตรวจนี้ใช้แสงเอกซเรย์ปริมาณน้อยมาก ส่องตามจุดที่ต้องการแล้วใช้คอมพิวเตอร์คำนวนหาความหนาแน่นของกระดูก เมื่อเทียบกับค่ามาตรฐาน โดยการเปรียบเทียบกับมวลกระดูกของผู้หญิงอายุ 25 ปี การตรวจเลือดเพื่อค้นหาปริมาณการสร้าง และการสลายของกระดูก
การตรวจความหนาแน่นมวลกระดูก ช่วยชะลอการสูญเสียมวลกระดูก
ขั้นตอนการตรวจง่าย ไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องอดอาหาร ในอดีตการตรวจความหนาแน่นของกระดูกต้องอาศัยการตัดชิ้นเนื้อกระดูกไปตรวจ แต่ในปัจจุบันสามารถตรวจได้เลย โดยไม่ต้องงดน้ำ งดอาหาร เมื่อท่านเข้ารับการตรวจแล้ว แพทย์จะทราบสาเหตุที่ทำให้เกิดการสูญเสียมวลกระดูก และสามารถวางแผนการรักษา หรือชะลอการสูญเสียมวลกระดูกลงได้ ทั้งนี้โรคกระดูกพรุนส่วนใหญ่มีโอกาสหาย หรืออาการดีขึ้นได้มาก ถ้าสามารถตรวจพบและให้การรักษาตั้งแต่ระยะแรกๆ จะทำให้ความหนาแน่นมวลกระดูกเพิ่มขึ้น ลดความเสี่ยงของการเกิดกระดูกหัก และยังสามารถลดความเสี่ยงจากการหกล้มได้ด้วย
ใครที่ควรตรวจความหนาแน่นกระดูก?
- สตรีวัยหมดประจำเดือนทุกราย
- ผู้สูงวัยที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป
- ผู้มีปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน เช่น สูบบุหรี่ รับประทานยา หรือฉีดสเตียรอยด์ (Steroid) เป็นระยะเวลานาน
- ผู้ที่มีรูปร่างผอมมากๆ
- ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน
- ผู้ที่ไม่ได้ออกกำลังกาย
การรักษา
การรักษาทางยา มียาหลายชนิดที่ใช้รักษาโรคกระดูกบาง โดยเฉพาะหญิงวัยทอง กลุ่มยาที่ใช้รักษาโรคกระดูกพรุน ได้แก่
- ฮอร์โมนเอสโตรเจน มักให้ในกลุ่มผู้ป่วยตัดรังไข่ หรือเพื่อลดอาการจากการหมดประจำเดือน
- SWEMs (selective estrogen receptor modulators) เป็นยาที่สังเคราะห์ขึ้นคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นเพื่อลดอุบัติการณ์ของการเกิดมะเร็งเต้านม สามารถลดการสูญเสียมวลกระดูก และลดอุบัติการณ์ของกระดูกเปราะหักได้
- แคสซิโนติน (Calcitonin) เป็นฮอร์โมนธรรมชาติที่สกัดจากปลาแซลมอน ช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกระดูก และลดอุบัติการณ์กระดูกสันหลังหักมีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดได้
- บิสฟอสพอเนต (Bisphoshonates) เป็นยาที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการสลายกระดูก ช่วยลดความเสี่ยงต่อกระดูกสันหลังหักยุบ และกระดูกสะโพกหักได้
- ฮอร์โมนพาราไธรอยด์ ในผู้ป่วยที่กระดูกพรุนรุนแรง หรือไม่ตอบสนองต่อยากลุ่มอื่น
การรักษาโดยการผ่าตัด เพื่อแก้ไขภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นจากภาวะกระดูกหัก เช่น การฉีดซีเมนต์ที่กระดูกสันหลัง ในรายที่กระดูกสันหลังหักยุบ หรือการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมในรายที่กระดูกสะโพกหัก สิ่งที่จะทำให้ทราบได้ว่ากระดูกมีการเสื่อมสภาพหรือไม่ ทำได้โดยการปรึกษาแพทย์เพื่อซักประวัติ เอกซเรย์ ตรวจวัดความหนาแน่นของกระดูก และหากพบความผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำในการดูแลที่ถูกต้อง