การดูแลผู้ป่วย : การป้องกันและดูแลแผลกดทับ
การป้องกันแผลกดทับที่ได้ผลดีที่สุดนั้น คือ การป้องกันสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับ
สาเหตุและปัจจัยเสี่ยงของการเกิดแผลกดทับแบ่งเป็น 2 ปัจจัย คือ
1. ปัจจัยภายใน ได้แก่ สภาพของผู้ป่วยเอง อายุที่สูงขึ้น ชั้นไขมันใต้ผิวหนังบางลง โรคประจำตัว สภาวะโภชนาการที่แย่ลง การจำกัดการเคลื่อนไหว และการควบคุมการขับถ่ายที่ลดลง เป็นต้น ซึ่งเป็นปัจจัยเสริม ให้เกิดแผลกดทับ
2. ปัจจัยภายนอก ได้แก่แรงกด แรงเลื่อนไถล แรงเสียดทาน และความเปียกชื้น ซึ่งเหล่านี้เป็นปัจจัย ที่เกิดขึ้นร่วมกันปัจจัยภาย ในทำให้เกิดแผลกดทับขึ้น และแผลมีแนวโน้มที่จะเป็นเพิ่มมากขึ้นถ้าไม่ได้ลดปัจจัย ดังกล่าว แรงกด (Pressure) แรงกด ที่มีผลต่อผิวหนังและขัดขวางการส่งผ่านของออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงเนื้อ เยื่อคือแรงกดประมาณ 32 mmHg บริเวณ ที่เป็นส่วนของปุ่มกระดูกเมื่อถูกกดทับ แรงกดและน้ำหนักจะมีผลต่อเนื้อเยื่อตั้งแต่ชั้นในสุดที่ติดกับกระดูกและขยาย ออกมาถึง พื้นผิวด้านนอก เป็นลักษณะ cone-shape เมื่อผู้ป่วยนอน อยู่ที่เตียงในโรงพยาบาล วัดแรงกดได้ 150 mm Hg และเมื่อ นั่งจะมีแรงกด > 300 mm Hg ถ้าผู้ป่วยไม่ได้มี ีการเคลื่อนไหวร่างกายเลย ก็จะมีผลให้เกิดเนื้อเยื่อขาดเลือดไปเลี้ยงได้ ถ้ามี ีการเคลื่อนไหวทุก 2 ชม. แรงกด จะ ลดลงเหลือ 70 mmHg และถ้ามีการลดแรงกดเป็นพักๆจะช่วยลดการเกิดอันตราย / การบาดเจ็บของเนื้อเยื่อได้
การป้องกัน (Prevention)
จากสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวมา ทำให้เราสามารถหาแนวทางการป้องกันแผลกดทับได้ดังนี้
1. การลดแรงกด (Pressure Felief) การลดแรงกดเป็นปัจจัยสำคัญ ปัจจัยหนึ่งในการลดการเกิดแผลกดทับแบ่งเป็น 2 ทาง เลือกคือ การจัดท่าผู้ป่วย และการเลือกใช้อุปกรณ์ลดแรงกด (pressure-reducing)
การจัดท่าผู้ป่วย (Patient Positiongng) การพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยเป็นหลักเบื้องต้นในการป้องกันแผลกดทับ
1.1 พลิกตะแคงตัวผู้ป่วยอย่างน้อยทุก 2 ชั่วโมง และควรมีการบันทึกไว้ ผู้ป่วยที่มีความเสี่ยง ต่อการเกิดแผลกดทับสูงสามารถพลิกตะแคงตัวผู้ป่วยได้บ่อยกว่าทุก 2 ชั่วโมง หากพบว่าที่ผิวหนังมีรอยแดงเกิดขึ้นนอกจากนี้การพลิกตะแคงตัวยังขึ้นกับชนิด ของที่นอนด้วย
1.2 ในการพลิกตะแคงตัวผู้ป่วย ควรตะแคงตัวให้สะโพกเอียงทำมุม 30 องศากับที่นอน เพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดโดยตรงกัน greater trochanter ในการจัดท่านอนหงายควรมีหมอนสอดคั่นระหว่างหัวเข่า และระหว่างตาตุ่ม 2 ข้างเพื่อป้องกันการกดทับเฉพาะที่
1.3 ป้องกันการเกิดแผลกดทับบริเวณส้นเท้าโดยการใช้หมอนรองบริเวณน่อง หรือขาส่วนล่างให้ส้นเท้าลอยพ้นพื้นที่นอนไม่ให้ถูกกด
1.4 ในการจัดท่านอนศรีษะสูง ไม่ควรสูงเกิน 30 องศา เพื่อป้องกันการเกิดการเลื่อนไถล และการกดทับจาก Pressure และ Shear forces แต่ถ้าจำเป็นต้องนอนศรีษะสูงเพื่อให้อาหารทางสายยาง ควรลดระดับลงเหลือ 30 องศา ภายหลังจากให้ อาหารแล้วประมาณ 30 นาที – 1 ชั่วโมง
1.5 หลีกเลี่ยงการใช้ห่วงยาง (Rubber Ring / Donut – Type) และมีถุงมือยางใส่น้ำรองบริเวณปุ่มกระดูก
1.6 ในการยกตัวผู้ป่วย ควรใช้ผ้ายกตัว ไม่ควรใช้วิธีลาก และไม่ควรเคลื่อนย้ายผู้ป่วยหรือยกผู้ป่วยเพียงลำพัง หากผู้ป่วยช่วย เหลือตัวเองไม่ได้ ในรายที่เป็นอัมพาตท่อนล่าง สามารถช่วยยกตัวได้โดยใช้ trapeze ที่ติดอยู่ที่หัวเตียง
1.7 ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตจากการบาดเจ็บของไขสันหลัง ควรนอนบนหมอนขวางที่วางเว้นปุ่มกระดูกและสามารถนอนคว่ำได้โดยไม่ต้องพลิกตัวได้ตลอดทั้งคืน เมื่อผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งไม่ว่าจะเป็นรถเข็น หรือเก้าอี้ในผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตท่อนล่างควรมีการลดแรงกด โดยการยกก้น (นั่ง 30 นาที ยกก้น 30 วินาที) หรือเอียงตัวให้กันด้านหนึ่งลอย หรือให้ญาติเข้าช่วยทางด้านหลังยกตัวผู้ป่วยให้ก้นลอย
1.8 ในการนั่งรถเข็น ควรสวมรองเท้า / รองเท้าหุ้มส้นทุกครั้ง และสายรัดกันเท้าตก เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นขณะเข็นรถได้
1.9 ผู้ป่วยที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ควรอยู่ในท่านั่งได้ไม่เกิน ครั้งละ 1 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการเกิดแผลกดทับ
อุปกรณ์ช่วยลดแรงกด จำแนกได้ 2 แบบ คือ
– อุปกรณ์ ชนิด Static วางบนที่นอน เช่นที่นอนที่ทำจาก เจล โฟม ลม และน้ำ การทำงานจะเป็นลักษณะลด แรงกดเฉพาะที่ี่พื้นผิวสัมผัสของร่างกาย
– อุปกรณ์ ชนิด Dynamic ใช้แปลงพลังงานในการหมุนเวียนของลม เพื่อลดแรงกดที่เกิดขึ้นกับชิ้นส่วนของ ร่างกาย
2. การดูแลผิวหนัง (Skincare) มีเป้าหมายเพื่อควบคุมและปรับปรุงเนื้อเยื่อที่ถูกกดให้มีความแข็งแรง และป้องกันไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ
2.1 การทำความสะอาดร่างกายผู้ป่วยที่ผิวหนังแห้งหลีกเลี่ยงการใช้น้ำอุ่นในการทำ ความสะอาดร่าง และสบู่ควรเลือกทำความสะอาดร่างกายวันละครั้ง หรือตามความเหมาะสม
2.2 สำหรับผู้ป่วยที่ผิวแห้งควรเพิ่มการทาโลชั่น โดยทา 3-4 ครั้งต่อวัน ถ้าเป็นครีมทา 2-3 ครั้งต่อวัน
2.3 ในรายที่ควบคุมการขับถ่ายไม่ได้ ควรทำความสะอาดทุกครั้งที่มีการขับถ่าย และซับให้แห้ง ในการทำความสะอาดควรเช็ดอย่างเบามือ และซับให้แห้งด้วยผ้าที่อ่อนนุ่ม หลังจากนั้นทาวาสลีน หรือโลชั่นทุกครั้งเพื่อปกป้องผิวหนังในส่วนนั้นเป็นแผลจากความเปียกชื้น
2.4 ควรหาสาเหตุของการควบคุมการขับถ่ายไม่ได้และแก้ไข เช่นการฝึกการขับถ่ายปัสสาวะ และการฝึกขับถ่ายอุจจาระ เป็นต้น
2.5 หลีกเลี่ยงบริเวณที่รับความรู้สึกได้น้อย หรืออ่อนแรงสัมผัสกับความรัอน เช่นการวางกระเป๋าน้ำร้อน ควรระวังให้มากและไม่ควรใช้กับผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตถ้าจะใช้ให้เลือกใช้ hot pack และควรห่อผ้าขนหนูก่อนวาง พร้อมทั้งประเมิน พร้อมทั้งประเมิณความร้อนก่อนวางให้ผู้ป่วยทุกครั้ง และควรสังเกตุรอยแดง / ตุ่มพอง ที่อาจเกิดความร้อนที่ผิวหนังผู้ป่วย
2.6 หลีกเลี่ยงการนวดปุ่มกระดูก โดยเฉพาะที่มีรอยแดงจากการศึกษาการนวดปุ่มกระดูก จะให้การไหลเวียนของเลือดบริเวณนั้นลดลงและทำให้เนื้อเยื่อที่อยู่ลึกลงไปได้รับอันตรายจากการกดนวด
2.7 ส่งเสริมการเคลื่อนไหวของร่างกายโดยการทำ Passive exercise และ Fange of Motion ควรทำอย่างน้อยวันละ2-3 ครั้ง
2.8 ระวังอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับผิวหนัง
2.9 ถ้ามีแผลกดทับ 1-2 สามารถใช้วัสดุปิดแผลจำพวก occlusive หรือ semi permeable ปิดแผลเพื่อควบคุมให้สิ่งแวดล้อมของแผลชุ่มชื้น
3. ภาวะโภชนา (Nutritional Status) ดูแลเพิ่มอาหารประเภทโปรตีน เพื่อช่วยในการส่งเสริมการหายของแผลระดับของโปรตีนที่ผู้ป่วยที่มีแผลกดทับต้องการคือ 1.0-1.2 gm/kg/day รวมทั้งวิตามินซี ดูแลให้ผู้ป่วยได้รับอาหารและน้ำที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ถ้าผู้ป่วยรับทางปากได้น้อย ดูแลแนะนำอาหารอื่นๆ เช่น นม ไอศกรีม หรืออาหารเสริม สำหรับผู้ป่วยที่มีขายทั่วไปเพื่อทดแทนสารอาหารและพลังงานได้แต่ถ้ารับทางปากไม่พอหรือไม่ได้เลยคงต้องเป็นทางสายยางให้อาหาร หรือทางหลอดเลือดดำ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา
4. การกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต สามารถทำได้โดยการกระตุ้นให้ผู้ป่วยได้มีการเคลื่อนไหวของร่างกาย เคลื่อนย้ายผู้ป่วยจากเตียงลงมานั่งบ้าง (ในสะภาวะที่พร้อม) และงดการสูบบุหรี่
5. การให้ความรู้ (Education) มีความสำคัญค่อนข้างมากในปัจจุบัน เนื่องจากถ้าผู้ป่วยและญาติมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแผลกดทับ แล้วจะสามารถปฏิบัติตัวได้อย่างถูกต้อง แนวโน้มการเกิดแผลกดทับก็จะลดลงได้และยังมีผลระยะยาวที่จะลดค่าใช้จ่ายในการรักษาแผลกดทับลง
สอบถามเกี่ยวกับอาการกับพยาบาลผู้ป่วยได้ที่
โทร.02-271-6700 ต่อ 1035, 1037
โรงพยาบาลพญาไท 2
Phyathai Call Center 1772