การดูแลผู้ป่วย : การให้อาหารทางสายให้อาหาร (NG tube)

การดูแลผู้ป่วย : การให้อาหารทางสายให้อาหาร (NG tube)

 
การให้อาหารทางสายให้อาหารเป็นการใส่สายยาง/ท่อยางผ่านทางรูจมูกจนถึงกระเพาะอาหารผ่านเข้าไปในกระเพาะอาหาร เป็นอาหารปั่นผสม (Blenderized diet) ที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วนตามหลักโภชนาการที่รวมไปถึงปริมาณของอาหารที่พอเหมาะในแต่ละมื้ออาหารโดยผู้ป่วยไม่ต้องเคี้ยวหรือกลืนอาหารนั้นๆ ทั้งนี้ระบบการย่อยและการดูดซึมอาหารของกระเพาะอาหารผู้ป่วยจะต้องยังคงทำงานปกติเหมือนในการกิน/การเคี้ยวอาหารจึงจะสามารถให้อาหารผู้ป่วยทางสายให้อาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ผู้ป่วยที่ควรได้รับอาหารทางสายให้อาหารได้แก่

1.บุคคล/ผู้ป่วยที่มีปัญหาในช่องปากช่องคอจนเกิดปัญหาการกลืนอาหาร การดื่มน้ำ จนไม่สามารถรับประทานอาหารฯได้เองทางปากเช่น ในรายที่เป็นมะเร็งในช่องปาก มะเร็งหลอดอาหาร อัมพฤกษ์ อัมพาต

2. ผู้สูงอายุที่มีปัญหาทางทันตกรรมจนก่อให้เกิดปัญหาในการเคี้ยวอาหาร ส่งผลให้ได้รับอาหารน้อยไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

อุปกรณ์จำเป็นที่ใช้ในการให้อาหารทางสายให้อาหาร

1. อาหารปั่นผสมที่อุ่นแล้วปริมาณ 200 – 250 มิลลิลิตร

2. กระบอกฉีดยาขนาดใหญ่ที่สุด/กระบอกให้อาหาร/Syringe feeding (ขนาด 50 มิลลิลิตร) สำลีสะอาด และแอลกอฮอล์ 70%

3. น้ำสะอาดประมาณ 50 – 100 มิลลิลิตร

วิธีให้อาหารทางสายให้อาหารที่ปลอดภัย ลดโอกาสติดเชื้อจากอาหาร และลดโอกาสสำลักอาหารได้แก่
1. ล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนการเตรียมอุปกรณ์การให้อาหารทางสายให้อาหารและ ในการให้อาหารเพื่อช่วยลดจำนวนเชื้อโรค

2. เตรียมอาหารและอุปกรณ์การให้อาหารมาที่เตียงผู้ป่วยหรือที่ผู้ป่วยนั่งอยู่เพื่อสะดวกในการให้อาหารแก่ผู้ป่วย

3. แจ้งผู้ป่วยให้ทราบว่าจะให้อาหารเพื่อให้ทราบและพร้อมในการให้อาหาร ในบางครั้งถ้าพบว่าผู้ป่วยมีเสมหะ ต้องดูดเสมหะออกก่อนการให้อาหารเพื่อป้องกันการสำลักอาหารขณะให้อาหาร

4. จัดท่าเพื่อให้อาหารไหลสู่กระเพาะอาหารได้ดีลดโอกาสเกิดการสำลัก โดยจัดให้ผู้ป่วยนอนศีรษะสูง 30 – 60 องศา (กรณีผู้ป่วยลุกนั่งไม่ได้) หรือจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในท่านั่งบนเก้าอี้ที่มีพนักพิงหลัง

5. ใส่สายให้อาหารผ่านรูจมูกด้านใดด้านหนึ่ง ผ่านลำคอ ผ่านหลอดอาหารเข้าสู่กระเพาะอาหาร

6. เปิดจุกปลายสายให้อาหาร และเช็ดรอบรูเปิดด้วยแอลกอฮอล์ 70% หรือน้ำต้มสุก เพื่อทำความสะอาดอุปกรณ์และลดจำนวนเชื้อโรค

7. ต่อหัวกระบอกให้อาหาร (Syringe feeding) เข้ากับรูเปิดของสายให้อาหารโดยสำรวจให้กระชับและแน่น แล้วค่อยๆดูดน้ำย่อยอาหารหรืออาหารที่ค้างอยู่ในกระเพาะอาหารออก ให้สังเกตปริมาณและลักษณะสิ่งที่ดูดออกมาเพื่อเป็นการทดสอบตำแหน่งของสายให้อาหารว่าอยู่ถูกต้องในกระเพาะอาหารหรือไม่ ป้องกันการเลื่อนหลุดและป้องกันการสำลักอาหารเนื่องจากการไหลย้อนกลับจากกระเพาะอาหารเข้าสู่หลอดลม ถ้าดูดออกมาได้มากเกิน 50 มิลลิลิตรให้ใส่น้ำย่อยหรืออาหารที่ค้างอยู่ในกระเพาะอาหารที่ดูดได้กลับเข้าไป และเลื่อนมื้ออาหารนั้นออกไป 1 ชั่วโมงเพื่อให้เวลากับการย่อยอาหารที่ค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร หลังจากนั้นอีก 1 ชั่วโมงต่อมาหากตรวจสอบพบว่ายังมีน้ำย่อยหรืออาหารค้างในกระเพาะอาหารเกิน 50 มิลลิลิตร ให้งดให้อาหารมื้อนั้นและให้อาหารในมื้อต่อไปได้ ซึ่งตามปกติจะให้อาหารวันละ 3 – 4 มื้อเช่น 7.00, 12.00, 17.00 และ 20.00 น.

8. หลังตรวจสอบตามข้อ 6 แล้ว เมื่อจะเริ่มให้อาหาร ให้พับสายให้อาหารที่ใกล้กับรูเปิด ของสายให้อาหาร สำรวจกระบอกให้อาหารที่ต่อกับสายให้อาหารให้เรียบร้อยแล้วให้กระชับแน่น นำอาหารเทลงไปในกระบอกให้อาหารประมาณ 50 มิลลิลิตรแล้วจึงค่อยๆปล่อยสายให้อาหารที่พับไว้ ยกกระบอกให้อาหารขึ้นสูงพอประมาณเพื่อช่วยให้อาหารค่อยๆไหลลงไปตามสาย เมื่ออาหารใกล้หมดเหลืออีกประมาณ 10 มิลลิลิตรจึงเทอาหารลงไปอีก ทำเช่นนี้จนอาหารที่เตรียมมาหมด และควรให้น้ำสะอาดตามลงไปอีกประมาณ 50 มิลลิลิตรหลังจากให้อาหารหมดแล้ว เพื่อช่วยล้างสายให้อาหารเพื่อลดการบูดเน่าของเศษอาหารที่ค้างอยู่ตามสายให้อาหาร

9. กรณีที่ให้ยา ถ้าเป็นยาเม็ดควรบดยาให้ละเอียดก่อนการให้ยาผ่านลงไปในสายให้อาหาร ถ้าเป็นยาที่เป็นแคปซูลควรแกะแคปซูลออกก่อน แต่ถ้าเป็นยาน้ำสามารถนำมาให้ผ่านสายฯ ได้เลย

10. เช็ดปลายสายให้อาหารด้วยแอลกอฮอล์ 70% หรือด้วยน้ำต้มสุกที่ทิ้งไว้จนเย็นแล้ว ปิดฝาครอบรูเปิดสายฯเพื่อลดสิ่งสกปรกหลุดเข้าไปในสายฯ ควรเก็บสายฯให้เรียบร้อยโดยใช้ พลาสเตอร์ติดสายฯที่พ้นออกมานอกช่อง/รูจมูก เก็บให้อยู่สูงกว่าตำแหน่งช่องจมูกเพื่อลดการไหลย้อน กลับออกมาของอาหารเช่น บริเวณแก้มข้างใดข้างหนึ่งของผู้ป่วยหรือบริเวณเหนือหูของผู้ป่วย แต่สิ่งที่ควรระมัดระวังคือ การเกิดแผลกดทับตรงตำแหน่งที่เก็บพักสายฯจากการกดทับของสายฯ(เช่น ที่บริเวณเหนือใบหู) ดังนั้นควรเปลี่ยนตำแหน่งดังกล่าวบ่อยๆ ควรเปลี่ยนทุกครั้งที่ให้อาหารแต่ละมื้อ

11. ให้ผู้ป่วยนอนอยู่ในเดิม/ท่าศีรษะสูง 30 – 60 องศาหรือท่านั่งอย่างน้อย 30 นาทีถึง 1 ชั่วโมงหลังให้อาหารเสร็จเพื่อป้องกันอาการอึดอัดแน่นท้องและอาหารไหลย้อนกลับเข้าหลอดอาหารและเข้าหลอดลม/การสำลักอาหาร

12. เก็บอุปกรณ์ที่ใช้ให้การให้อาหารไปทำความสะอาดเพื่อสะดวกในการใช้ครั้งต่อไป

การดูแลสายให้อาหารที่สำคัญคือ

1. การดูแลสายให้อาหาร: หากพบว่าพลาสเตอร์ที่ปิดตรึงสายฯบริเวณสันจมูก (ตำแหน่งที่สอดใส่สายฯเข้าในช่องจมูกเพื่อให้สายฯอยู่กับที่เพื่อป้องกันการเลื่อนหลุด) สกปรก ควรใช้สำลีสะอาดชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดทำความสะอาด และจะช่วยให้พลาสเตอร์ลอกออกได้ง่ายแล้วจึงเปลี่ยนพลาสเตอร์อันใหม่ ส่วนสายฯในส่วนที่อยู่นอกช่องจมูก ควรทำความสะอาดด้วยผ้านุ่มๆชุบน้ำเปล่าสะอาด หลังจากนั้นจึงเช็ดสายฯให้แห้ง

2. การเปลี่ยนสายให้อาหาร: ตามปกติสายให้อาหารที่ใช้กับผู้ป่วยมักจะใช้ได้นานประมาณ 1 เดือนหรือน้อยกว่านั้น เมื่อเห็นว่าสายฯขุ่นสกปรก หรือมีอาหารอุดตันทำให้อาหารไม่สามารถไหล ลงไปได้ หรือสายให้อาหารรั่ว (สังเกตจากมีน้ำหรือเศษอาหารซึมออกมาในช่วงให้อาหาร/ให้ยา) จำเป็นต้องเปลี่ยนสายให้อาหารใหม่เสมอไม่ต้องรอจนถึง 1 เดือน

ดูแลผู้ป่วยขณะให้อาหารทางสายให้อาหารอย่างไร?

1. การดูแลผู้ป่วยระหว่างให้อาหารทางสายให้อาหารที่สำคัญคือ ญาติหรือผู้ดูแลควรสังเกตอาการไอหรืออาการสำลักขณะให้อาหารทางสายให้อาหาร ถ้ามีอาการไอควรหยุดการให้อาหารไว้สักครู่ รอจนอาการไอหายไปจึงให้อาหารต่อ แต่ถ้าผู้ป่วยมีการสำลักควรหยุดให้อาหารทันที จับผู้ป่วยตะแคงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง สังเกตการหายใจของผู้ป่วย ถ้ามีอาการหายใจไม่สะดวก/หายใจลำบาก ต้องรีบพาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที/ฉุกเฉิน

2. ถ้าผู้ป่วยมีอาการไอทุกครั้งขณะให้อาหารทางสายให้อาหารหรือมีอาการไออย่างต่อเนื่องโดยไม่สัมพันธ์กับการให้อาหารทางสายฯ ก็ควรรีบนำผู้ป่วยไปโรงพยาบาลไม่ต้องรอจนถึงวันแพทย์นัด เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการตรวจเพื่อหาสาเหตุและได้รับการรักษาที่เหมาะสม

3. อาการไอหรืออาการสำลักระหว่างการให้อาหารจะเป็นสาเหตุให้อาหารไหลเข้าสู่หลอดลม/สู่ปอดที่เป็นสาเหตุให้เกิดการอุดตันทันทีของหลอดลมและ/หรือเป็นสาเหตุของปอดบวมซึ่งทั้ง 2 กรณีอาจเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้

4. ควรใช้ไม้พันสำลีหรือ Cotton bud ชุบน้ำสะอาดเช็ดภายในรูจมูกทั้ง 2 ข้างเพื่อขจัดสิ่งสกปรก ควรทำทุกครั้งหลังการเช็ดตัวให้ผู้ป่วยหรือทุกครั้งที่พบมีสิ่งสกปรกในรูจมูก

5. ควรดูแลความสะอาดในช่องปากของผู้ป่วยร่วมด้วยเสมอเพื่อลดจำนวนเชื้อโรค และเมื่อช่องปากสะอาดจะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกสุขสบายและยังกระตุ้นความอยากอาหาร และช่วยให้ผู้ป่วยพร้อมที่จะรับประทานอาหารทางปากได้ต่อไปหากผู้ป่วยมีสุขภาพที่ดีขึ้น
 
สอบถามเกี่ยวกับอาการกับพยาบาลผู้ป่วยได้ที่
แผนกไอซียู ชั้น 3 อาคาร A
โทร.02-617-2444 ต่อ 4304, 4305
โรงพยาบาลพญาไท 2
Phyathai Call Center 1772