โรคสมองเสื่อมหรือภาวะสมองเสื่อม เป็นความผิดปกติของสมองที่เริ่มลดประสิทธิภาพการทำงานลงเรื่อยๆ อย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเราอาจเคยได้ยินมาว่า โรคนี้เป็นโรคของผู้สูงอายุ คือมักเกิดกับผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป หรือยิ่งชรายิ่งมีโอกาสเป็นสูงขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่า… ปัจจุบัน เราพบผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมในผู้ที่อายุน้อยลงเรื่อยๆ คือพบได้มากขึ้นในผู้มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป หรือยังอยู่ในวัยทำงาน โดยพบมากถึง 7% ของจำนวนผู้ป่วยทั้งหมด
เพราะโรคที่เป็น และพฤติกรรมที่ทำ
นำไปสู่โรคสมองเสื่อมในคนอายุน้อย
ปกติแล้ว เมื่ออายุมากขึ้นหรือเข้าสู่วัย 40 ปี เป็นต้นไป อวัยวะและระบบการทำงานของต่อมไร้ท่อต่างๆ รวมถึงหัวใจและสมองก็ย่อมค่อยๆ เสื่อมลง และสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น มีความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็นโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดต่างๆ โรคตับและโรคไตเรื้อรัง หรือมีพฤติกรรมสูบบุหรี่จัด ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ไม่ออกกำลังกาย นั่งทำงานไม่ค่อยขยับตัว มีความเครียด นอนดึก พักผ่อนไม่เพียงพอ ปัจจัยเหล่านี้ย่อมเป็นการเพิ่มโอกาสที่จะทำให้เกิดโรคสมองเสื่อมได้เร็วขึ้นนั่นเอง
ปัจจัยอื่นๆ ที่เพิ่มความเสี่ยงโรคสมองเสื่อม หรือ อัลไซเมอร์
- การขาดวิตามินบางตัว เช่น วิตามินบี 12 และอี
- การได้รับสารพิษจากสิ่งแวดล้อม สารเสพติด หรือยาบางชนิด
- การติดเชื้อจำพวกซิฟิลิส หรือเชื้อไพรออน CJD ที่เป็นโรคเรื้อรัง ไวรัส HIV
- ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติ
- เป็นโรคโพรงน้ำในสมองโต
- มีเนื้องอกในสมอง
- เกิดอุบัติเหตุจนสมองได้รับความกระทบกระเทือน
คุณหรือคนใกล้ตัว มีพฤติกรรมเหล่านี้บ้างหรือไม่?
ถ้าใช่! อาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคสมองเสื่อม
เมื่อมีภาวะสมองเสื่อม จะส่งผลให้มีปัญหาในด้านความจำ ความคิด อารมณ์ และบุคลิกภาพที่เปลี่ยนไป ซึ่งเราอาจสังเกตได้จากการพูดคุย ที่ผู้ป่วยจะชอบพูดซ้ำๆ ในเรื่องเดิมๆ ที่เพิ่งพูดไป บางครั้งการสื่อสารก็บกพร่อง เช่น พูดไม่ออกเพราะนึกคำไม่ได้ ฟังคนอื่นพูดแล้วไม่เข้าใจ เขียนหนังสือไม่ถูก และเมื่ออาการสมองเสื่อมลุกลาม ก็จะเริ่มมีปัญหาในการชีวิตประจำวันมากขึ้นเช่น
- สูญเสียความทรงจำระยะสั้น จำทางกลับบ้านไม่ได้ ลืมสถานที่ ไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ทำให้ไปไหนมาไหนตามลำพังไม่ได้
- ไม่สามารถทำกิจกรรมง่ายๆ ที่เคยทำได้ เช่น ซื้อของแล้วคิดเงินทอนไม่ถูก เพราะบวกลบเลขไม่ได้
- ใช้ข้าวของต่างๆ ไม่เป็น เช่น กดรีโมททีวี กดโทรศัพท์มือถือไม่ถูก ไม่ทราบว่าของชิ้นนั้นๆ มีไว้ทำอะไร
- ไม่สามารถแยกแยะรสชาติหรือกลิ่นได้
- อาบน้ำเองไม่เป็น ไม่ยอมแปรงฟัน แต่งตัวไม่เหมาะสม
- ความจำแย่ลง หลงๆ ลืมๆ โดยเฉพาะลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน ลืมว่าวางสิ่งของไว้ตรงไหน แต่ความจำในเรื่องเก่าๆ ในอดีตอาจยังดีอยู่
- ชอบทำอะไรซ้ำๆ เช่น รดน้ำต้นไม้วันละหลายรอบ กินข้าววันละหลายมื้อ
- จำสถานที่ที่คุ้นเคยไม่ได้ ลืมชื่อคนในบ้าน
- มีปัญหาในตัดสินใจ บุคลิกภาพเปลี่ยนไป เฉื่อยชา โมโหฉุนเฉียวง่าย อาจเห็นภาพหลอน หลงผิด มีอาการระแวง หวงของ กลัวคนรอบข้างจะมาเอาทรัพย์สินของตน หรือมาแย่งสมบัติไป
ซึ่งอาการเหล่านี้อาจสังเกตได้ยากในระยะแรก หรือคนใกล้ชิดก็เห็นแต่ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้ป่วยจึงมีบุคลิกภาพที่เปลี่ยนไป นึกไม่ถึงว่า… แท้ที่จริงแล้ว นี่คือสัญญาณและเป็นอาการของผู้ที่มีภาวะสมองเสื่อม ชนิด “โรคอัลไซเมอร์” ซึ่งเป็นโรคสมองเสื่อมชนิดที่พบมากที่สุด สาเหตุหลักๆ ของสมองเสื่อมชนิดนี้ เกิดจากเซลล์สมองบางส่วนตายไป ส่งผลให้การส่งสารสื่อประสาทลดลง ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความทรงจำและการเรียนรู้ ความสามารถในการใช้ชีวิตจะค่อยๆ ถดถอยลง
ยังมีอาการสมองเสื่อมชนิดที่ทำให้แขนขาอ่อนแรง การทรงตัวไม่ดี พูดไม่ชัด ที่เกิดจากการตีบตันของหลอดเลือดสมอง หรือมีการฉีกขาดของหลอดเลือดสมอง ซึ่งจะเรียกว่า “โรคหลอดเลือดสมอง” เมื่อผู้ป่วยมีเลือดออกในสมองและไปกดเบียดเนื้อสมอง ก็จะส่งผลให้เซลล์สมองบางส่วนเสียหายหรือตาย ความสามารถในการสั่งงานของสมองจึงลดลง โดยสาเหตุของการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ก็เช่น การมีความดันโลหิตสูง เป็นโรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง รวมถึงพฤติกรรมสูบบุหรี่จัดหรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ พักผ่อนไม่เพียงพอ และมีความเครียดสะสม
การตรวจและรักษาโรคสมองเสื่อม อัลไซเมอร์
หากเราสงสัยถึงพฤติกรรมหรือบุคลิกภาพที่เปลี่ยนไปของคนใกล้ตัว ว่าอาจจะเป็นโรคสมองเสื่อมหรืออัลไซเมอร์ ควรรีบพาไปพบแพทย์ ซึ่งการวินิจฉัย คุณหมอจะซักถามอาการ และพฤติกรรมต่างๆ ทำการทดสอบความจำและทักษะที่เกี่ยวกับการแก้ปัญหา การคำนวณ การใช้ภาษา หากมีความจำเป็นก็อาจส่งตรวจเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) สมอง เพื่อหารอยโรคร่วมด้วย
แม้โรคสมองเสื่อมชนิด “โรคอัลไซเมอร์” ยังไม่มียาหรือวิธีรักษาให้หายได้ แต่เราสามารถบรรเทาอาการของโรคด้วยยา และประคับประคอง ป้องกัน หรือชะลอการดำเนินโรคไม่ให้เป็นมากขึ้นอย่างรวดเร็วได้ เพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ในส่วนของครอบครัวหรือผู้ที่ดูแลผู้ป่วย จะต้องเข้าใจถึงปัญหาและพฤติกรรมของผู้ป่วยว่าไม่ได้เกิดจากความตั้งใจ แต่เป็นเพราะความบกพร่องในการทำงานของสมอง ดังนั้นจึงต้องใจเย็นและไม่ถือโทษโกรธเคืองผู้ป่วย หมั่นให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมที่ชอบเพื่อความผ่อนคลาย เช่น เล่นเกมบริหารสมอง ฟังเพลง ออกกำลังกาย หมั่นดูแลความสะอาดทั้งสิ่งแวดล้อมและตัวผู้ป่วย รวมถึงใส่ใจในโภชนาการ รับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยบำรุงเซลล์สมอง เช่น ผลิตภัณฑ์จากใบแปะก๊วย จมูกข้าว ข้าวกล้อง ไข่แดง และผักใบเขียว ควรหลีกเลี่ยงอาหารแปรรูปโซเดียมสูง หวานจัด เค็มจัด ไขมันสูง เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหลอดเลือดสมองอันจะส่งผลเสียต่อเซลล์สมองและภาวะอัลไซเมอร์เป็นทวีคูณ