“โรคลมพิษ” เป็นแล้ว...ต้องรับมือให้เป็น

<h2><span style="color: #00826a;">“โรคลมพิษ” เป็นแล้ว&#8230;ต้องรับมือให้เป็น</span></h2>
<p>บางครั้งที่ผิวของเราเกิดความผิดปกติ เป็นผื่นแดงๆ มีอาการคัน และเราก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร หรือเกิดจากอะไร คิดว่าปล่อยๆ ไปก็คงหายเอง แต่ผ่านไปหลายวันก็ยังไม่หาย แถมยังมีอาการมากขึ้นกว่าเดิม ถ้าเป็นแบบนี้ให้ลองสังเกตดีๆ ว่า ความผิดปกติที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนังของคุณนั้น ใช่ “ลมพิษ” หรือไม่?</p>
<h2><span style="color: #00826a;">ผื่นแบบไหนที่เรียกว่า “ลมพิษ”</span></h2>
<p><span style="color: #00826a;"><strong>“ลมพิษ (Urticaria)”</strong></span> เป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อย โดยในชีวิตคนเราอาจจะพบผื่นลมพิษขึ้นอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตได้ที่ประมาณ 8-22% โดยพบได้ทั้งในเพศหญิง เพศชาย และทุกช่วงอายุ</p>
<p>ลมพิษจะมีลักษณะเป็นผื่นบวม นูน แดง กระจายตามลำตัว แขนขา หรือบริเวณใบหน้า และจะมีอาการคันร่วมด้วย โดยทั่วไปผื่นนั้นจะค่อยๆ ยุบลงได้เองภายใน 24 ชั่วโมง (แต่สักพักก็กลับมาขึ้นใหม่ตามระยะเวลาในการดำเนินโรค) ในบางรายที่เกิดอาการบริเวณเนื้ออ่อน เช่น ริมฝีปาก หรือหนังตา จะเรียกว่า ภาวะแองจิโออีดีมา (Angioedema) อาจเป็นได้นาน 2-3 วัน ถึงจะค่อยๆ ยุบ และในบางรายอาจมีอาการบวมในระบบทางเดินอาหารทำให้รู้สึกปวดแน่นท้อง หรือมีอาการในระบบทางเดินหายใจทำให้แน่นจมูก หายใจไม่สะดวก และถ้ามีอาการรุนแรงมากอาจถึงขั้นทำให้เสียชีวิตได้</p>
<h2><span style="color: #00826a;">ประเภทของโรคลมพิษ</span></h2>
<p>หลายคนคงคุ้นหูกับ “โรคลมพิษ” แต่คงยังไม่แน่ใจนักว่าโรคลมพิษที่รู้จักนั้น มีกี่ประเภท และแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งโดยหลักๆ โรคลมพิษ จะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ตามระยะเวลาในการเป็น</p>
<ul>
<li aria-level="1"><span style="color: #00826a;"><strong>ลมพิษชนิดเฉียบพลัน  </strong></span></li>
</ul>
<p>มักมีอาการต่อเนื่องกันไม่เกิน 6 สัปดาห์ ส่วนใหญ่ประมาณ 50% จะเกิดขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ นอกนั้นอาจเกิดจากการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจส่วนบน การแพ้ยา และแพ้อาหารตามลำดับ</p>
<ul>
<li aria-level="1"><span style="color: #00826a;"><strong>ลมพิษชนิดเรื้อรัง</strong></span></li>
</ul>
<p>มักมีอาการเป็นๆ หายๆ โดยเป็นต่อเนื่องเกิน 6 สัปดาห์ และเป็นอย่างน้อย 2 ครั้งใน 1 สัปดาห์ ลมพิษชนิดนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ลมพิษชนิดที่เกิดจากการกระตุ้น (Inducible urticaria) อย่างการขูดขีด ความร้อน ความเย็น การออกกำลังกาย เป็นต้น หรืออาจเกิดจากปฏิกิริยาจากโปรตีนในเลือดของผู้ป่วยที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดผื่น จากยา จากการติดเชื้อ หรืออาจเป็นชนิดที่ไม่พบสาเหตุจำเพาะเลยก็เป็นได้</p>
<h2><span style="color: #00826a;">“โรคลมพิษ” เกิดจากสาเหตุใด และสิ่งใดที่อาจกระตุ้นให้เกิดลมพิษได้บ้าง?</span></h2>
<p>การเกิดโรคลมพิษมีได้หลายสาเหตุ และปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดโรคลมพิษของแต่ละคนก็อาจไม่เหมือนกัน มาดูกันว่ามีสาเหตุใดบ้าง</p>
<ul>
<li aria-level="1">แพ้อาหาร เช่น อาหารทะเล สารกันบูดในอาหาร หรือสีผสมอาหารบางชนิด</li>
<li aria-level="1">แพ้ยาบางชนิด เช่น กลุ่มยาแก้ปวด แอสไพริน เป็นต้น</li>
<li aria-level="1">แพ้ฝุ่น ละอองเกสร พืชบางชนิด และขนสัตว์</li>
<li aria-level="1">การติดเชื้อ เช่น ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา หรือพยาธิ</li>
<li aria-level="1">ในบางรายที่มีปฏิกิริยาของผิวหนังที่ตอบสนองผิดปกติต่อความร้อน ความเย็น หรือแสงแดด เป็นต้น</li>
<li aria-level="1">สารทึบรังสี (Contrast  Media) ที่ใช้ในการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์</li>
<li aria-level="1">ผิวหนังสัมผัสสารเคมีหรือยาบางชนิด เช่น ยาทาแก้อักเสบ เป็นต้น</li>
<li aria-level="1">การให้เลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือด</li>
<li aria-level="1">ในบางรายที่มีภาวะแพ้ภูมิตัวเอง ผื่นอาจเกิดจากโปรตีนในเลือดของผู้ป่วยเองที่ไปกระตุ้นเซลล์อักเสบให้หลั่งสารที่ทำให้เกิดอาการของลมพิษขึ้น</li>
</ul>
<h2><span style="color: #00826a;">วิธีรับมือกับโรคลมพิษ</span></h2>
<p>หากรู้แล้วว่าตัวเองเป็นลมพิษ สิ่งที่ควรปฏิบัติเบื้องต้นคือ</p>
<ul>
<li>พยายามนึกถึงสาเหตุที่อาจทำให้เกิดผื่นลมพิษขึ้น โดยเฉพาะช่วงเวลา 1-2 ชั่วโมงก่อนผื่นขึ้นว่าไปทำอะไรมา หรือกินอะไรไป เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดผื่น</li>
<li>รักษาสภาพผิวให้สมบูรณ์ แข็งแรง ไม่มีภาวะผิวแห้ง ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการคันได้</li>
<li aria-level="1">ไม่แกะเกาผิวหนัง เนื่องจากอาจทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ และเป็นรอยขึ้นมาได้</li>
<li aria-level="1">ไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา และวิเคราะห์หาสาเหตุของโรค ตามความเหมาะสมสำหรับผู้ป่วยในแต่ละราย</li>
</ul>
<h2><span style="color: #00826a;"><strong>พบแพทย์ทันที&#8230;เมื่ออาการน่าสงสัย</strong></span></h2>
<p>“โรคลมพิษ” นอกจากจะก่อให้เกิดอาการคัน และความรำคาญแล้ว ในบางรายที่มีอาการมากๆ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้องอาจส่งผลรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ฉะนั้นหากคุณหรือคนใกล้ชิดที่ป่วยเป็นโรคลมพิษ หรือมีอาการผิดปกติที่สงสัยว่าจะใช่โรคลมพิษหรือไม่ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ซึ่งสามารถสังเกตอาการได้ดังนี้</p>
<ul>
<li aria-level="1">ผื่นที่มีอาการคัน บวมแดง ขึ้นไว ยุบไว แต่สักพักก็กลับมาเป็นใหม่</li>
<li aria-level="1">หากเป็นลมพิษเฉียบพลันที่มีอาการรุนแรง อาจพบอาการแน่นหน้าอก หายใจไม่สะดวก ปวดท้อง ร่วมกับมีอาการหน้าบวม ตาบวม ปากบวม ซึ่งถ้ามีอาการต่างๆ เหล่านี้ ถือว่าเป็นภาวะอาการแพ้ชนิดรุนแรง (Anaphylaxis) ให้รีบมาพบแพทย์ที่แผนกฉุกเฉินทันที</li>
</ul>
<p>โรคลมพิษ จะมีอาการมากหรืออาการน้อย ส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับสาเหตุ ความรุนแรงของโรค และการดูแลรักษาตัวเองของผู้ป่วย เพราะฉะนั้นหากท่านใดที่มีอาการลมพิษ หรือสงสัยลมพิษ ควรรีบมาพบแพทย์เพื่อที่จะหาสาเหตุ และวางแผนการรักษาร่วมกันต่อไป</p>
<p style="text-align: right;"><span style="color: #00826a;"><strong>นพ. พชรวรรธน์ จิระสุทัศน์</strong></span><br />
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง และเวชศาสตร์ครอบครัว<br />
ศูนย์ผิวหนังและความงาม โรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์</p>


ผื่นลมพิษจะมีลักษณะเป็นผื่นบวม นูน แดง กระจายตามลำตัว แขนขา หรือบริเวณใบหน้า และจะมีอาการคันร่วมด้วย โดยทั่วไปผื่นนั้นจะค่อยๆ ยุบลงได้เองภายใน 24 ชั่วโมง แต่สักพักก็กลับมาขึ้นใหม่ตามระยะเวลาในการดำเนินโรค

บริการ

บทความ

เกี่ยวกับเรา

สาขาโรงพยาบาล

“โรคลมพิษ” เป็นแล้ว...ต้องรับมือให้เป็น

Tel

Email

บริการ

บทความ

เกี่ยวกับเรา

สาขาโรงพยาบาล