ลักษณะอาการปวดข้อมือด้วยโรคการกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ ถือเป็นโรคซึ่งพบบ่อยมากโรคหนึ่งในวัยกลางคนถึงคนสูงอายุ ส่งผลทำให้มีอาการ ปวด ชา และ อ่อนกำลังที่มือ อย่างไรก็ตามโรคนี้ถ้าได้รับการรักษาที่ถูกต้องแต่เนิ่นๆ สามารถรักษาให้หายขาดได้ สาเหตุของอาการปวดข้อมือคือ
- อาชีพที่ต้องใช้มือตลอดเวลา เช่น เย็บปักถักร้อย ขับรถ ช่างทาสี การเขียนหนังสือ การใช้เครื่องมือที่สั่น เช่นเครื่องเจาะถนน กีฬาบางประเภท การเล่นดนตรี การพิมพ์ดีด การใช้แป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ การห่อของในโรงงาน ฯ
- จากอุบัติเหตุ ทำให้ข้อมือช้ำ กระดูดหัก ข้ออักเสบ
- จากโรคทั่วไปของร่างกาย เช่น โรคเบาหวาน ต่อมไทรอยด์ เนื้องอกบริเวณข้อมือ
อาการเริ่มต้นส่วนใหญ่จะเริ่มด้วยอาการปวดที่ข้อมือและมักจะปวดในช่วงกลางคืนมากกว่าในช่วงกลางวัน บางครั้งอาจปวดมากจนทำให้ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อสะบัดมือ โดยจะเป็นอยู่สักพักแล้วอาการก็จะค่อยๆ ทุเลาลง หากปล่อยทิ้งไว้อาการก็จะยิ่งเป็นมากขึ้น โดยจะมีอาการชาที่นิ้วมือ นิ้วชี้และนิ้วกลาง ทางด้านอุ้งมือ อาจมีความรู้สึกเหมือนนิ้วหนาและหนักและกล้ามเนื้อฝ่อ ถ้าปล่อยไว้นาน 4 – 5 เดือน อาการมักจะเป็นตลอดเวลา
โรคนี้พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 80% สำหรับวัยที่มีความเสี่ยงสูงคือตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป โดยคนไทยมีโอกาสเป็นมากกว่าชาวยุโรป และมักจะเป็นทั้งสองมือ อาจจะเป็นพร้อมกันก็ได้ โรคนี้ไม่ใช่โรคที่เกิดทางพันธุกรรมแต่สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ข้อมือและมือในลักษณะซ้ำๆ กันเป็นเวลานานๆ
การตรวจวินิจฉัยโรค
การตรวจวินิจฉัยโรคนี้ทำได้โดยการตรวจร่างกาย การตรวจการนำคลื่นไฟฟ้าของเส้นประสาทข้อมือ การเอกซเรย์กระดูกข้อมือ สำหรับการรักษา หากเป็นระยะเริ่มแรกควรงดการใช้งานมือข้างนั้น หลีกเลี่ยงการยกของหนัก และการใช้มือในลักษณะซ้ำๆ เป็นเวลานานๆ ใช้หมอนรองข้อมือเวลาทำงานและเวลานอน
รักษาได้อย่างไร
อาการปวดข้อมือมีสาเหตุและระดับความรุนแรงแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย ดังนั้น วิธีการรักษาก็มีหลายวิธีเช่นกัน ดังนี้
- การทำกายภาพบำบัดสามารถช่วยรักษาอาการปวดได้โดยใช้ที่ดามข้อมือตลอดทั้งกลางคืน และกลางวัน
- รับประทานยาแก้อักเสบ หากอาการเป็นมากขึ้นปวดชามาก กินยาไม่ดีขึ้น อาจต้องฉีดยาที่บริเวณข้อมือ เพื่อลดอาการอักเสบภายในโพรงข้อมือ การฉีดยาแบบนี้ส่วนใหญ่แพทย์จะไม่แนะนำให้ฉีดเกิน 3 ครั้ง เนื่องจากเป็นสารสเตียรอยด์ อาจมีผลเสียได้ถ้าฉีดมากเกินไป
- การผ่าตัด จะกระทำเมื่อการรักษาด้วยยาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแล้วไม่ได้ผล และในรายที่มีอาการรุนแรงกล้ามเนื้อฝ่อมักจะไม่ได้ผลเมื่อรักษาด้วยยา
วิธีการผ่าตัดทำได้โดย
- การผ่าตัดโดยการเปิดแผลและตัดเอ็นที่ด้านหน้า และขยายช่องให้ใหญ่ขึ้น
- การผ่าตัดโดยการส่องกล้อง จะทำให้แผลมีขนาดเล็กและหายเร็ว อาการปวดไม่มาก และสามารถใช้งานมือได้เร็วขึ้น
การป้องกัน ทำได้อย่างไร
หลีกเลี่ยงการยกของหนัก การใช้งานมือซ้ำๆ เป็นเวลานานๆ ออกกำลังกายเป็นประจำ รวมทั้งออกกำลังกายบริเวณข้อมือด้วย รวมทั้งปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ออฟฟิศให้ถูกต้อง เหมาะสม หากจำเป็นต้องใช้งานคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ควรหาแผ่นรองข้อมือเพื่อป้องกันการกระดูกข้อ